
อนาคตของหุ้นไทย
อนาคตของหุ้นไทย
อนาคตของหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยสิ้นสุดยุคที่น่าสนใจแล้วหรือไม่ หลังจากต้นเดือนเมษายน ดัชนีหุ้นไทย rebound กลับขึ้นมายืนเหนือ 1,200 จุดได้อีกครั้ง ผลจากการชะลอของการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ผสานกับมาตรการการเงินและการคลังทั่วโลก แต่นักลงทุนยังคงเกิดคำถามดังกล่าวขึ้น
สองสามปีมานี้ หุ้นไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์ทางลบมาหลายๆ เรื่อง และที่หนักที่สุดก็คือเรื่องวิกฤตโควิดโลกที่หนักกว่าทุกๆ เรื่องก่อนหน้านี้รวมกัน ราคาหุ้นไทยจึงไหลดิ่งลงมาอย่างยาวนาน และแม้ว่าต้นเดือนเมษายน ผลจากการที่จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มชะลอการเพิ่มรายวัน บวกกับสารพัดมาตรการการเงิน และการคลังของทั่วโลก สามารถทำให้ดัชนีหุ้นไทย rebound กลับขึ้นไปอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ยืนเหนือ 1,200 จุดได้อีกครั้ง
วิกฤตราคาหุ้น เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งกับตลาดหุ้นไทย ทุกครั้งก็จะกินเวลาระยะหนึ่ง สั้นบ้างยาวบ้าง แตกต่างกันไปตามระดับของปัญหา แต่หลังจากผลกระทบจบลง ราคาหุ้นในปีต่อมาก็มักจะทะยานขึ้นได้แรงเสมอ เช่นหลังจบวิกฤตต้มยำกุ้ง 2541 การจบวิกฤตซับไพร์ม 2551 หรือย้อนไกลไปเมื่อครั้ง วิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซีย 2533 ก็ตาม
หลังวิกฤต ตลาดหุ้นก็มักกลับมาทำกำไรที่ดี พร้อมๆกับเศรษฐกิจฟื้นตัว ในทุกรอบที่ฟื้นตัว ก็จะเกิดโคตรเซียนรุ่นใหม่ ขึ้นมาเล่าขานความสำเร็จ ในการเข้าเริ่มลงทุนในช่วงที่ราคาตกต่ำตอนวิกฤตทุกครั้งไป ตลาดหุ้นจึงไม่เคยตาย แค่ตกแรงชั่วคราวเท่านั้น
การคาดการณ์จุดสิ้นสุดที่แน่นอนทำได้ไม่ง่าย ผู้ลงทุนต้องเกาะติด คิดวิเคราะห์ เกี่ยวกับต้นตอของวิกฤต ซึ่งสำหรับครั้งนี้คือการระบาดของโควิด19 ว่าจะหมดฤทธิ์เมื่อใด รวมถึงมาตรการการเงินการคลัง ของไทยและทั่วโลก ที่จัดหนักแล้ว อาจมีหนักกว่าเดิม จนถึงระดับหนึ่งก็จะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นได้ แล้วตัวเลขเศรษฐกิจค่อยตามมาทีหลัง เพราะตลาดหุ้นเป็น Leading Indicator นำ
ในยามเกิดวิกฤตใหญ่ที่ไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน มูลค่าของหุ้นย่อมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผู้ลงทุนต้องวางข้อมูลเดิมก่อนหน้านี้ไป ไม่ว่าจะตัวเลขผลดำเนินงานปีก่อน หรือบทวิเคราะห์เดือนก่อน เพราะข้อมูลเหล่านั้นจะล้าสมัย ไม่ทันกับพัฒนาการของของวิกฤต ที่อาจแย่ลงมาก หรือดีขึ้นมาก ก็เป็นได้ทั้งสิ้น
ใช้ EPS อนาคต ที่ปรับใหม่สดเสมอ ยกตัวอย่างเช่น รอบนี้เริ่มมีผู้คาดการณ์ล่าสุดว่า EPSของตลาดโดยเฉลี่ย จะเหลือเพียง 70 บาท แตกต่างจากของเก่าเมื่อต้นปีที่ 90-100 บาท รวมทั้งหุ้นทุกบริษัท ตัวเลขเปลี่ยนแปลงไปมากมาย โดยเฉพาะธุรกิจที่ถูกวิกฤตครั้งนี้ถล่มโดยตรง หุ้นที่เกี่ยวพันกับการท่องเที่ยวเดินทาง ธุรกิจลูกค้าต้องไปแออัดกัน
การเล็งหุ้นที่จะเข้าลงทุน ไม่สามารถดูอดีต เพราะอนาคตอาจเป็นหนังคนละม้วน เราต้องคิดวิเคราะห์ไปข้างหน้าว่า 1 ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแรงพอจะรองรับผลกระทบจากโควิดจนพ้นการระบาดหรือไม่ โดยเฉพาะหากโควิดยาวนานกว่าที่คิด 2 ผู้บริหารของบริษัทมีวิสัยทัศน์ เฉลียวฉลาด มีแววที่จะสามารถบริหารกิจการผ่านพายุร้ายครั้งนี้ได้หรือไม่ 3 ผลจากเหตุการณ์โควิดครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงสภาพธุรกิจของบริษัทอย่างไร ดีขึ้นหรือแย่ลง เปลี่ยนไปชั่วคราว หรือเปลี่ยนไปอย่างถาวร ถ้าดีครบทั้ง 3 ประการ หุ้นที่ว่าก็น่าจะอยู่ในจอเรดาร์ของเราได้แล้วครับ
ด้วยความที่ข้อมูลอดีตแทบจะต้องวางไว้ข้างๆ แล้วแสวงหาข้อมูลวิเคราะห์ไปข้างหน้า เราจำเป็นต้องดูข้อมูลจากบทวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน ผมขอแนะนำให้มาดูข้อมูลที่สมาคมนักวิเคราะห์ฯได้ขอความร่วมมือจากสมาชิก นำมารวมกันให้ผู้ลงทุนได้ใช้
หลังจากวิกฤตโควิดผ่านพ้นไป หุ้นไทยที่ท่านได้เลือกเฟ้นธุรกิจที่ดีตามแนวทางที่กล่าวข้างต้น ยังน่าจะเป็นความหวังในการออมระยะยาวได้ดีระดับหนึ่ง แม้จะไม่ดีมากเท่าช่วงยุคทองก่อนหน้านี้ก็ตาม
แต่หลักการหนึ่ง ซึ่งผมแนะนำเสมอคือ ต้องกระจายเงินลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์ ป้องกันความไม่แน่นอน นอกจากนั้น ในช่วงข้างหน้า สินทรัพย์ลงทุนต่างๆก็ยังน่าจะผันผวนมากได้อีก คงต้องมีการกระจายจังหวะเวลา ไม่ควรทุ่มเต็มที่ หรือหนีเต็มตัว ในจังหวะเดียวครับ
สรุปภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในวันสุดท้ายของสัปดาห์ในแดนบวกซึ่งเป็นผลมาจากการที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯได้เปิดเผยตัวเลขอัตราว่างงานในเดือน เม.ย. อยู่ที่ระดับ 14.7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 90 ปี นับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1930 แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 16%
ขณะทีอีกหนึ่งปัจจัยนั้นเป็นผลมาจากการที่นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีของจีนเผยว่าได้ทพูดคุยกับนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และ นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และยืนยันว่าทั้งสองประเทศจะยังคงปฎิบัติตามข้อตกลงทางการค้า "เฟสที่ 1"ซึ่งเป็นการยุติกระแสข่าวที่่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯเตรียมเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ โดยให้เหตุผลว่าจีนเป็นต้นเหตุของการระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งกระทบกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
โดยหุ้นทุกกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมดโดยหุ้นของ Exxon Mobil เพิ่มขึ้น 4.49% หุ้นของโบอิ้งเพิ่มขึ้น 3.92% และ หุ้นของ Apple 2.38%
ดัชนี ดาวโจนส์ : ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดตลาดที่ระดับ 24,331.32 จุด เพิ่มขึ้น 455.43 จุด หรือ 1.91% ดัชนี NASDAQ : ตลาดหุ้นนิวยอร์ค...