อัพเดทสถานการณ์โควิด 19 ( เช็คก่อนเดินทาง )

อัพเดทสถานการณ์โควิด 19 ( เช็คก่อนเดินทาง )

อัพเดทสถานการณ์โควิด 19  อาจมีแนวโน้มกลับมารุนแรงอีกครั้ง  ในช่วงนี้ใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดี ทำให้ประชนหลายคนเกิดความกังวลและลังเลว่าจะกลับบ้านดีไหม?  เนื่องเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นแล้วมีจังหวัดไหนบ้างต้องกักตัว 14 วัน วันนี้เรา สรุปรวมจังหวัดที่ต้องกักตัวหรือมีมาตรฐานพิเศษมาไว้ให้แล้ว พร้อมอัพเดทตลอดเวลาสามารถเข้าดูได้ตลอด สำหรับมาตรการที่เป็นมาตรฐานตอนนี้ โดยมีจังหวัดที่ประกาศกักตัว และจะกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่สีแดงทั้ง 5 จังหวัด ได้แก่  กรุงเทพฯ ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม นนทบุรี มีจังหวัดที่เพิ่มมาตรการป้องกัน ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์  รายงานตัวกักตัว 14 วัน หรือขอตรวจ Rapid Test ที่ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ หากผลเป็นลบไม่ต้องกักตัว (ผู้ขอตรวจชำระค่าใช้จ่าย 600 บาท)เดินทางมาจังหวัดอื่นๆนอกเหนือพื้นที่สีแดง ไม่ต้องกักตัว ไม่ต้องตรวจ Rapid Test ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ที่ผ่านกระบวนการ State Quarantine ไม่ต้องกักตัวอีก  จังหวัดนครราชสีมา (โคราช) ต้องรายงานตัวกับผู้นำชุมชน หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อ.สม.) ในพื้นที่ซึ่งอาศัยอยู่ ภายใน 12 ชั่วโมงนับแต่เดินทางมายังจังหวัดนครราชสีมาไม่ต้องกักตัว แต่ห้ามเดินทางไปยังสถานที่ชุมชน แออัดในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เช่น สถานที่ท่องเที่ยว สถานบันเทิง ตลาด เป็นต้นหากไม่สามารถกักตัวได้ จะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาเท่านั้น ด้วย แรพิด เทสต์ (Rapid Test) มีค่าใช้จ่าย จำนวน 600 บาทผู้ตรวจที่มาจากพื้นที่สีแดง จะต้องออกค่าใช้จ่ายเองนำผลการตรวจมายืนยันกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จึงจะสามารถเข้าในพื้นที่ที่ต้องการได้ จังหวัดสุรินทร์ รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ทันที กักตัว ณ ที่พักอาศัย 14 วัน ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ชุมพร ตาก ราชบุรี ชลบุรี สุพรรณบุรี นราธิวาส กาญจนบุรี ให้รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ทันทีเมื่อเดินมาถึง จังหวัดอื่นๆให้สังเกตอาการ จังหวัดบึงกาฬ กักตัวในบ้านพัก ไม่น้อยกว่า 10 วัน หากมีอาการมีไข้ น้ำมูกไหล จมูกไม่ได้รับกลิ่น ลิ้นไม่รับรส หรือสิ่งผิดปกติใดๆ ให้รีบส่งตัวบุคคลนั้นไปยังโรงพยาบาลหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬกิจกรรมต่างๆให้ยึดปฏิบัติตามมาตรฐาน D-M-H-T-T หลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมในพื้นที่คับแคบ จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุม 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี ตาก ราชบุรี และมี ประวัติเสี่ยง ให้กักตัว 14 วัน ผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงให้สังเกตอาการตัวเอง 14 วันผู้ที่เดินทางมาจากทั้ง 9 จังหวัด ให้รายงานตัวผู้นำชุมชม เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อคัดกรองความเสี่ยง  จังหวัดขอนแก่น สำหรับ ผู้ที่มาจากพื้นที่สีแดง 5 จังหวัด ให้รายการตัวกับเจ้าหน้าที่และกักตัวเองที่บ้าน (Self-Quarantine ) และ ลงทะเบียนผ่าน QR Code ตลอดในช่วงเวลาที่อยู่ในพื้นที่ขอนแก่น เพื่อที่จะได้เช็คประวัติ ทามไลน์ได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ทางจังหวัดขอนแก่นเปิดสายด่วนโควิดเพื่อรองรับการติดต่อสอบถามจากประชาชน เบอร์ 0979597675  และ 0885527388 จังหวัดมุกดาหาร มุกดาหารแบ่งจังหวัดและเขตพื้นที่ละเอียดได้แก่กรุงเทพฯ เขตบางแค ภาษีเจริญ บางขุนเทียน วัฒนา(ย่านทองหล่อ เอกมัย) คลองเตยปทุมธานี อ.ธัญบุรี อ.ลำลูกกานนทบุรี อ.บางใหญ่สมุทรปราการ อ.เมืองนครปฐม อ.พุทธมณฑลตาก อ.แม่สอดสมุทรสาคร อ.เมือง อ.กระทุ่มแบน อ.บ้านแพ้วพื้นที่เสี่ยงอื่นๆที่มีผู้ติดเชื้อภายใน 14 วัน  หากมาจากพื้นที่ดังกล่าวเมื่อถึงจังหวัดมุกดาหารให้สแกนคิวอาร์โค้ด Data Muk จากนั้นให้รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ ให้กักตัวที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน สอบสวนโรคโดย เจ้าพนักงาน  จังหวัดลำปาง สำหรับประชาชนที่จะเดินทางกลับ...
Read More
ทำความรู้จักกับ 6 กองทุนรวมแต่ละประเภท

ทำความรู้จักกับ 6 กองทุนรวมแต่ละประเภท

ทำความรู้จักกับ 6 กองทุนรวมแต่ละประเภท วันนี้เราจะแนะนำให้คุณรู้จักกับประเภทของกองทุนรวมว่ามีกี่ประเภทและมีนโยบายการลงทุนอย่างไรบ้าง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาและตัดสินใจลงทุน เพื่อที่จะสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมได้ตรงกับวัตถุประสงค์ทางการเงินที่คุณได้วางแผนไว้นั่นเอง การแบ่งประเภทของกองทุนรวม แบ่งได้หลายประเภท อาทิเช่น ตามลักษณะการจัดจำหน่ายและการไถ่ถอนคืนหน่วยลงทุน ตามการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่วันนี้เราจะพูดถึงการแบ่งประเภทกองทุนรวมตามนโยบายการลงทุน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1.กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในเงินฝาก ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล โดยเป็นการลงทุนในตราสารที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยง หรือต้องการลงทุนในระยะสั้นเพื่อใช้เป็นที่พักเงิน 2.กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ ที่ออกโดยภาครัฐและเอกชน เช่น พันธบัตรรัฐบาล/ พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (อายุเกิน 1 ปีขึ้นไป), หุ้นกู้บริษัทเอกชน (Investment Grade) จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรับผลตอบแทนเป็นรายได้ประจำในรูปของดอกเบี้ย 3.กองทุนรวมผสม (Balanced Fund) คือ กองทุนรวมที่มีการลงทุนแบบกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งเงินฝาก ตราสารหนี้ ตราสารทุน หรือตราสารอื่นๆ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างสูง เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตการลงทุนผสมในสินทรัพย์หลายประเภทเพื่อกระจายความเสี่ยง หรือเพื่อเพิ่มผลตอบแทนในระยะสั้น 4.กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนประเภทต่างๆ เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) หน่วยลงทุนของกองทุนรวม โดยมีสัดส่วนการลงทุนไม่น้อยกว่า 65% จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง ให้ผลตอบแทนสูง เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ได้ 5.กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Sector Fund) คือ กองทุนรวมที่มุ่งลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรมเพียงบางหมวด เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร โดยมีสัดส่วนการลงทุนไม่น้อยกว่า 65% จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นการลงทุนแบบกระจุกตัวในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง แต่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในภาวะตลาดที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวมีผลประกอบการดี เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและมีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมบางกลุ่มจะเติบโตได้ดี 6.กองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือก (Alternative Investment Fund) คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ (นอกเหนือจากสินทรัพย์พื้นฐาน) เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ น้ำมัน สินค้าเกษตร ตราสารอนุพันธ์ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ รวมทั้งอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือการลงทุนในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนรวม เนื่องจากสินทรัพย์ทางเลือก เป็นสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนไม่ค่อยจะสัมพันธ์กับสินทรัพย์พื้นฐาน เช่น หุ้น หรือ ตราสารหนี้ เมื่อเรา ทำความรู้จักกับ 6 กองทุนรวมแต่ละประเภท ซึ่งมีการแบ่งตามนโยบายการลงทุนกันไปแล้ว คุณก็สามารถใช้ข้อมูลข้างต้นประกอบการตัดสินใจ เลือกลงทุนในกองทุนรวมได้ตรงกับวัตถุประสงค์ทางการเงินของคุณได้แล้วค่ะ ครั้งหน้าเราจะมีบทความดีๆ เกี่ยวกับการเงินการลงทุนเรื่องอะไรมานำเสนอ ต้องรอติดตามกันนะคะ ลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย หากคุณได้ลงทุนแล้วเงินลงทุนสามารถทำงานให้คุณได้ จนได้รับเงินตอบแทนกลับเข้ามาเพราะปัญหาการมีเงินทุนมีความเสี่ยง แถมบางครั้งทุนของคุณอาจไม่เพียงพอ จนผลตอบแทนไม่ได้ผลตามที่คาด ดาวดวงใหม่ 6 หนุ่มหล่อ ออร่าพุ่งจากทางช่อง 3 อนาคตไกล พร้อมกับเร็วๆนี้จะมีเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม กับคอนเสิร์ตระเบิดความมันของจักรวาลในรอบ 50 ปี รับรองว่าอลังการสุดๆ อดใจไม่ไหวแล้วเราตามไปทำความรู้จักกันเลยค่ะ ...
Read More
5 ข้อผิดพลาด “เรซูเม่” แบบไหนที่เขา “คัดทิ้ง” ไม่พิจารณา

5 ข้อผิดพลาด “เรซูเม่” แบบไหนที่เขา “คัดทิ้ง” ไม่พิจารณา

5 ข้อผิดพลาด “เรซูเม่” แบบไหนที่เขา “คัดทิ้ง” ไม่พิจารณา เรซูเม่ (Resume) คือ ประวัติย่อของผู้สมัครงาน เป็นเครื่องมือที่เราใช้นำเสนอตัวเอง ให้กับคนที่มีอำนาจเลือกเราเข้าทำงาน โดยเรซูเม่นั้นจะเป็นด่านแรกที่จะทำให้ฝ่ายบุคคลรู้จักเรา ซึ่งถ้าเรซูเม่เราน่าสนใจ เขาก็จะเลือกเราให้เข้าสู่ด่านต่อไป อันที่จริง การทำเรซูเม่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือ การทำออกมาให้ถูกหลักและมีคุณภาพต่างหาก เพราะฉะนั้น การมี “เรซูเม่” ที่โดดเด่น ถูกหลักการ มีคุณภาพ เป็นเรื่องจำเป็นหากต้องการจะได้งานทำ ความโดดเด่นที่ว่า ไม่ได้หมายความต้องมีสีสันฉูดฉาด ตกแต่งสวยงามเกินหน้ากระดาษแผ่นอื่น แต่เป็นความโดดเด่นของประวัติ ความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ ชนิดที่เพียงแค่เห็นผ่านตาก็ดึงดูดให้อยากจะหยิบมาพิจารณา การเขียนเรซูเม่เพื่อสมัครงาน จึงเป็นทักษะที่ทุก ๆ คนควรมี เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยหางาน อย่างไรก็ดี มีข้อผิดพลาดบางประการที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ ซึ่งนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่แม้แต่จะเลือกหยิบประวัติเราขึ้นมาพิจารณา แบบนี้แล้ว เราควรระวังและกลับไปปรับปรุงเรซูเม่ของตัวเองอย่างไรบ้าง 1.เน้นสวยงามอลังการมากเกินไป วัตถุประสงค์ของการเขียนเรซูเม่นั้น เป็นเอกสารที่ใช้สำหรับยื่นของานทำ เขาสนใจประวัติที่อยู่ในแผ่นกระดาษมากกว่าความสวยงามอลังการ หากเป็นตำแหน่งงานทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้ต้องการความครีเอท ให้เน้นรูปแบบที่ดูเรียบง่าย สุภาพ จัดหน้าให้อ่านง่ายสะอาดตา ใส่ใจเรื่องการจัดวางข้อความ ใช้ฟอนต์ที่เป็นทางการ และขนาดตัวหนังสือไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป แต่ถ้าเป็นสายงานด้านศิลปะ ก็อาจจะทำให้ดูมีลูกเล่นที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์มากขึ้้น แต่ต้องไม่รก หรือสีสันฉูดฉาด ใช้หลักน้อย ๆ แต่มากก็พอ 2.ใช้อีเมลไม่เป็นทางการ สำหรับการสมัครงาน อะไรที่ดูแล้วไม่เป็นทางการ มันก็แสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพ ความไม่จริงจัง ไม่น่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้น การใช้อีเมลสมัยเรียนที่เป็นชื่อเล่นแล้วตามด้วยภาษาวัยรุ่น ฉายา ตัวหนังสือที่พิมพ์ลวก ๆ ไม่มีความหมาย หรือคำหยาบคาย เอาไว้ใช้สมัครใช้งานเว็บไซต์ สมัครเข้าใช้โซเชียลมีเดีย หรือเอาไว้ใช้ติดต่อกับเพื่อนฝูงเท่านั้นก็พอ อย่านำมาใส่ในเอกสารที่ใช้ยื่นสมัครงานเด็ดขาด ชื่ออีเมลที่เหมาะสมที่สุดคือ ชื่อจริง นามสกุลจริงของตัวเอง สามารถศึกษาวิธีการตั้งชื่ออีเมลที่เหมาะสมได้จาก Google เลย 3.ใช้รูปภาพไม่เหมาะสม การส่งเรซูเม่ไปสมัครงาน เราต้องให้เกียรติกับบริษัทที่กำลังจะสมัครงานด้วย และที่สำคัญ คือให้เกียรติตัวเอง ทำให้ตัวเองดูเป็นมืออาชีพและน่าเชื่อถือ การสมัครไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะใช้รูปภาพเซลฟี่ ภาพที่แต่งกายไม่เป็นทางการ หรือรูปที่ใช้ตั้งเป็นโปรไฟล์โซเชียลมีเดีย แต่ควรใช้ภาพที่แต่งกายสุภาพเป็นทางการ หน้าตรง ซึ่งสมัยนี้ เราไม่จำเป็นต้องเช่าชุดสูทไปถ่ายรูปสมัครงาน ร้านเขาตัดต่อให้ได้ มีสูทให้เลือกหลายแบบเลย การที่เราใช้ภาพไม่เป็นทางการ นั้นแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก เขาอาจปัดตกทันที เพราะดูแล้วไม่น่าจ้างมาร่วมงานด้วยเลย 4.สั้นกุด-ยาวเกินไป สิ่งหนึ่งที่ควรระวังเวลาจะส่งประวัติย่อ นั่นคือความยาว เรซูเม่คือ “ประวัติย่อ” ไม่ใช่ “บทความ” ต่อให้เกียรติประวัติจะยาวเป็นหางว่าวแค่ไหนก็ไม่ควรจะเกิน 1 แผ่นกระดาษ A4 (หน้า-หลัง) คัดเฉพาะประวัติเด่น ๆ ที่เข้ากับสายงานที่สมัคร และควรเขียนเป็นข้อ ๆ มากกว่าการเขียนบรรยาย จะอ่านได้ง่ายกว่า เพราะเจ้าหน้าที่เขาไม่ได้มีเวลามานั่งอ่านประวัติของคนสมัครงานจนครบ ถ้าเขียนยาวเกินไป เขาอาจจะไม่อยากอ่านก็ได้ แต่ถ้าสั้นกุดจนเกินไป ความยาวแค่ครึ่งหนึ่งหรือยังไม่เต็ม 1 ด้าน A4 ก็กระไรอยู่ ดูไม่มีอะไรที่โดดเด่นจะจ้างมาทำงาน 5.มีแต่กราฟิกเต็มไปหมด เด็กสมัยนี้ควรจะระวังมากถึงมากที่สุด คือการใส่ทักษะความสามารถของตนเองในรูปแบบกราฟิก เช่น แผนภูมิหรือหลอดพลังงาน สำหรับเราอาจมองว่าสวย ทันสมัย ไม่จืดชืด และโดดเด่น แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ที่พิจารณาเรซูเม่เขาไม่ปลื้ม สิ่งที่เขาอยากรู้คือถนัดระดับไหน เชี่ยวชาญก็บอกเชี่ยวชาญ พอใช้ก็บอกพอใช้ ไม่ต้องมานั่งวัดระดับสเกลเอง แต่ละคนประเมินไม่เท่ากัน และที่สำคัญ ไม่ดึงความสนใจไปที่ข้อด้อยของเรามากเกินไปด้วย เพราะจะเห็นชัดมากเมื่อความเต็มของหลอดต่างกัน เรซูเม่ไม่ต้องเน้นความสวยงาม ให้เน้นประวัติที่ดี เป็นทางการ และสุภาพสะอาดตา เป็นอย่างไรบ้าง กับ 5 ข้อผิดพลาด “เรซูเม่” แบบไหนที่เขา “คัดทิ้ง” ไม่พิจารณา ที่เรานำมาฝากวันนี้ หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่กำลังจะสมัครงานนะคะ ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า คมนาคมรูปแบบนี้เกิดขึ้น จากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แบบ...
Read More
หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อหุ้น

หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อหุ้น

หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อหุ้น ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อหุ้น ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ วิธีการคำนวณการเติบโตของกำไรของบริษัท ภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา หากบริษัทมีอายุการจัดตั้งและได้ดำเนินการเสนอขาย หุ้น ให้แก่สาธารณะชนครั้งแรก (IPO : ไอพีโอ) น้อยกว่าระยะเวลา 10 ปี ให้พิจารณาประวัติการเติบโตของกำไรต่อ หุ้น ตั้งแต่วันแรกของ IPO โดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ให้ข้อมูลของ หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อ หุ้น ไว้ด้วยจะเป็นอย่างไรนั้น ตามไปดูกันเลย หุ้น การคำนวณอัตราการเติบโตด้านกำไรของบริษัท การคำนวณอัตราการเติบโตด้านกำไรของบริษัท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ว่าได้กำไรจำนวนเท่าไหร่ มีแนวโน้มการเติบโตอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ มีวิธีการคำนวณดังนี้ กำไรต่อหุ้น = รายได้สุทธิของบริษัท ÷ จำนวนของหุ้นซึ่งอยู่ในมือของผู้ถือหุ้น (หุ้นที่เรียกชำระแล้ว) ส่วนการคำนวณเพื่อให้ทราบอัตราการเติบโตของกำไรของหุ้น มีวิธีการดังนี้ อัตราผลตอบแทน           =          (มูลค่าในอนาคต / มูลค่าในปัจจุบัน)1/N–1x 100 อัตราผลตอบแทน           =          เปอร์เซ็นต์อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น มูลค่าในอนาคต              =          มูลค่ากำไรต่อหุ้นในอนาคต  มูลค่าในปัจจุบัน            =          มูลค่ากำไรต่อหุ้นในปัจจุบัน N                                  =          จำนวนปี กำไรสะสมที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของบริษัท สะท้อนให้เห็นมูลค่าในราคาค่าหุ้นหรือไม่ การคำนวณมูลค่ากำไรสะสมจากหุ้นที่แท้จริงของบริษัททุกครั้ง หากต้องการเห็นผลลัพธ์ด้านมูลค่าตอบแทนและกำไรสะสมที่แท้จริง ควรพิจารณาขึ้นกับตลาดที่มีระยะยาว 10 ปี หรือมากกว่า ซึ่งในการคำนวณเพื่อให้ทราบว่าฝ่ายบริหารของบริษัทคุณทำการลงทุนส่วนกำไรให้แก่ธุรกิจมากน้อยเพียงใด การลงทุนนั้นส่งผลตอบแทนที่สูงขึ้นมากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกำไรสะสมเหล่านั้น ซึ่งหากฝ่ายบริหารมีการจัดสรรและลงทุนให้เกิดกำไรสะสมได้ในปริมาณมาก มันจะช่วยสะท้อนกำไรให้แก่บริษัทอย่างแน่นอน อีกทั้งยังส่งผลให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย กำไรของเจ้าของในช่วงระยะเวลา 10 ปี คืออะไร แนวโน้มที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ กำไรของเจ้าของ คือ กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายในการลงทุน ซึ่งกำไรหักการหักลบก็คือยอดคงเหลือที่เจ้าของการลงทุนจะได้รับนั่นเอง สูตรการคำนวณกำไรของเจ้าของ มีวิธีการดังนี้ กำไรของเจ้าของ = รายได้สุทธิ + ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย – ค่าใช้จ่ายการลงทุนรายได้สุทธิ (Net income)  = รายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย หรือรายได้หลังจากหักค่าภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แล้วค่าเสื่อมราคา (Depreciation)  = สินทรัพย์มีตัวตน เช่น พวกที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) = สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่นสิทธิการเช่า ลิขสิทธิ์ค่าใช้จ่ายการลงทุน (Total expenses) = ค่าใช้จ่ายในการลงทุนทุกประเภท โดยเราสามารถคิดค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายในอัตราที่เพิ่มขึ้นได้ แต่ต้องไม่ใช่เงินสดที่เข้าไปในรายได้สุทธิและหักลบค่าใช้จ่ายในการลงทุน เราจะมองหาอัตราการเพิ่มขึ้นของกำไรต่อหุ้นได้อย่างไร และสามารถเทียบกับอัตราการเติบโตของอัตราการเพิ่มขึ้นในระยะยาวได้หรือไม่ หลักการการลงทุนหลักทรัพย์ที่ดี นักลงทุนควรจัดสรรเปอร์เซ็นต์การลงทุนหุ้นในบริษัทที่มีขนาดใหญ่บ้าง ด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทขนาดใหญ่มีความมั่นคงและมีหลักทรัพย์สูง หากตลาดมีแนวโน้มที่จะต่ำ ลง หรือเรียกได้ว่าอยู่ใน ช่วงขาลง หุ้นเหล่านั้นจะช่วยส่งผลให้มีอัตราการร่วงของมูลค่าหุ้นในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า เพราะหากเราเลือกลงทุนหุ้นในบริษัทขนาดกลางหรือบริษัทขนาดเล็กเท่านั้น ผลที่ตามมาก็อาจจะเสียหายได้อย่างคาดไม่ถึง สิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรต่อหุ้นในบริษัท คือการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของหุ้นในระยะยาว ซึ่งเห็นได้ว่า หากวิเคราะห์จริง ๆ แล้ว บริษัทใหญ่ ณ ปัจจุบัน ก็เกิดจากการเป็นบริษัทขนาดเล็กมาก่อน ซึ่งในการบริหารและจัดการของบริษัทนั้นหากมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ก็จะส่งให้มีการยกระดับจากบริษัทขนาดเล็กเป็นบริษัทขนาดกลาง ซึ่งก็เป็นไปได้อีกว่าหลังการเติบโตของบริษัทขนาดกลาง อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการขยายการเติบโตจำนวนหลายปี ถึงจะสามารถยกระดับไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ได้ ซึ่งได้เห็นได้ชัดว่า บริษัทขนาดใหญ่ จะเรียกได้ว่าการเติบโตชะลอตัวแต่ก็ไม่ถึงกับหยุดชะงัก เพราะเมื่อบริษัทขนาดใหญ่ มักจะมีการบริหารจัดการหลายส่วนมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเติบโตที่จะเกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการเติบโตในทิศทางการขยายภายใน ไม่ว่าจะเป็น การขยายบริษัทไปสู่พื้นที่หรือภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือสายการผลิตใหม่ การขยายตลาดไปสู่ตลาดใหม่ และขยายตัวด้วยการซื้อกิจการเพื่อเพิ่มบริษัทลูก เหตุการณ์ใดบ้างที่ส่งผลให้บริษัทคุณมีกำไรเพิ่มขึ้น ในการคำนวณและวิเคราะห์หุ้นของบริษัท คุณจำเป็นต้องทราบที่มาของกำไรและลำดับการซื้อ – ขาย ทั้งหมดของบริษัท เพราะหากบริษัทคุณมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกตุ นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน โดยที่คุณจำเป็นจะต้องนำรายการกำไรที่เกิดขึ้นนั้นออกจากรายการคำนวณประวัติของกำไร เพื่อจะนำมาคาดคะเนถึงผลกำไรนั้นอย่างถี่ถ้วน เพราะการที่กำไรเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต อาจจะขึ้นจากการขายสินทรัพย์ หรือเกิดจากการที่มีคำสั่งซื้อจำนวนมากจากลูกค้าเพียงรายเดียว ซึ่งจากการคาดคะเนพบว่ากำไรที่เกิดขึ้น อาจจะให้ผลกำไรแก่บริษัทแค่จำนวน 1 ปี หรือ 2...
Read More
สูตรพีจีสล็อต ลงทุนน้อย กำไรงาม!

สูตรพีจีสล็อต ลงทุนน้อย กำไรงาม!

สูตรพีจีสล็อต ลงทุนน้อย กำไรงาม! สูตรพีจีสล็อต ลงทุนน้อย กำไรงาม! - ผู้เล่น พีจีสล็อต หลายคนคิดว่าการเล่นสล็อตออนไลน์ อาจเป็นหนึ่งในรูปแบบการพนัน ที่ง่ายที่สุด นี่อาจเป็นความจริงบางส่วนเมื่อพูดถึงแง่มุมแบบแมนนวล แต่สิ่งที่หลายคนไม่เข้าใจ ก็คือมีการคิดเชิงกลยุทธ์ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อเล่นเกม พีจีสล็อต เนื่องจากนักพนันหลายคน ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าจะชนะ พีจีสล็อต ได้อย่างไรจึงมักจะมีสมมติฐานเชิงลบเกิดขึ้น ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ได้แก่ ความเรียบง่าย ของเกมความน่าจะเป็นในการชนะและที่แย่กว่านั้น คือไม่มีกลยุทธ์ใด ที่สามารถนำมาใช้ โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ชนะ เพียงเพราะว่า พีจีสล็อต มีความสดใส และอาจจะดัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาชนะได้ง่าย โชคมีบทบาทอย่างมาก ในการเล่นสล็อต แต่มีกลยุทธ์ที่สามารถช่วย ให้คุณมีโอกาสชนะสูงสุด สล็อตออนไลน์ทำงานอย่างไร? อย่างที่ได้บอกไปข้างต้น ว่าการชนะสล็อตออนไลน์ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โชคมีบทบาทสำคัญในการเล่น เนื่องจาก สล็อตใช้ Random Number Generator ทุกการหมุนบนเครื่องสล็อตจึงเป็นแบบสุ่มทั้งหมด เครื่องสร้างตัวเลขสุ่ม ช่วยให้แน่ใจว่าการเล่น และการสุ่ม เป็นไปอย่างยุติธรรม ดังนั้น ผู้เล่นทุกคน จึงมีชัยชนะ เหมือนกัน การคืนทุน หรือกลับสู่ผู้เล่น (RTP) ในเกมสล็อตนั้นขึ้นอยู่กับ ความน่าจะเป็น ของสัญลักษณ์ที่เรียงกัน บนเพย์ไลน์ ที่คุณเดิมพัน ลำดับของสัญลักษณ์ต่อ se` ไม่สามารถได้รับอิทธิพลดังนั้นการหมุนแต่ละครั้ง จึงมีโอกาสชนะเท่ากับครั้งก่อน ๆ บทบาทของความน่าจะเป็นในสล็อตออนไลน์ ทุกครั้งที่คุณคลิกที่ปุ่ม 'หมุน' เครื่องสล็อตจะเลือกสัญลักษณ์ ผสมแบบสุ่ม การเลือกแบบสุ่มช่วยให้มั่นใจ ได้ว่าการหมุน แต่ละครั้ง เป็นอิสระ โดยไม่คำนึงถึง การหมุนก่อนหน้านี้ ความน่าจะ เป็นในการชนะการจ่ายเงิน จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ จำนวนวงล้อจำนวนสัญลักษณ์ ที่กำหนดให้ กับเกมสล็อตตลอดจน รูปแบบที่สร้างขึ้น แบบสุ่มซึ่งจัดชุดสัญลักษณ์ที่ชนะ แม้ว่าอาจดูเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างมากที่จะตีชุดค่าผสมที่ชนะ แต่ก็มีเทคนิคที่สามารถช่วยให้ การหมุนของคุณทำงานได้ดีขึ้น ความเป็นไปได้ที่คุณ จะชนะจำนวนมากในสล็อตออนไลน์ นั้นค่อนข้างน้อย คาสิโนออนไลน์ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะเปิดเผยราคา ในเครื่องสล็อต มีข้อยกเว้นของคาสิโน ในสหราชอาณาจักร ความน่าจะเป็นต่ำ แต่ถ้าคุณให้ความสำคัญ กับเปอร์เซ็นต์ การกลับสู่ผู้เล่น คุณจะทราบได้ว่า คุณคาดหวังว่า จะได้รับเท่าไหร่ ต่อการชนะ อย่างไรก็ตามตามทฤษฎีแล้วยิ่งเกมสล็อตง่ายเท่าไหร่อัตราต่อรองก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น เนื่องจากสล็อตออนไลน์เล่นในอัตรา ที่เร็วกว่า เกมคาสิโนอื่น ๆ รวมถึง เกมบนโต๊ะเงินฝากของคุณก็จะหมดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน วิธีคำนวณความน่าจะเป็นในการชนะสล็อตออนไลน์ จำนวนชุดการชนะ ที่เป็นไปได้ ในสล็อตออนไลน์ใด ๆ สามารถคำนวณได้อย่างง่ายดาย คุณจะต้องคูณจำนวนสัญลักษณ์ ทั้งหมดที่มี ในเกมสล็อตเท่านั้น ลองนำสิ่งนี้มาเป็นมุมมองด้วยตัวอย่างง่ายๆ ลองนึกภาพว่าเรามีเกมสล็อตสามรีลที่มีสัญลักษณ์หกตัวในแต่ละรีล จำนวนชุดค่าผสมทั้งหมดที่เป็นไปได้จะคำนวณได้ดังนี้: 6 x 6 x 6 = 216 จากชุดค่าผสมที่ชนะทั้งหมด การคำนวณโอกาสในการชนะในเกมสล็อต นั้นค่อนข้างง่าย และตรงไปตรงมา ในกรณีนี้คุณจะต้องหารจำนวนชุด ค่าผสม ที่ชนะทั้งหมด ด้วยจำนวนชุดค่าผสม ที่เป็นไปได้ทั้งหมด แน่นอนว่าชุดค่าผสม ที่ชนะ ต่างๆ มีการจ่ายเงินรางวัล ที่แตกต่างกัน เนื่องจากสัญลักษณ์ มีค่าที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามยิ่งชุดค่าผสม ยากเท่าไหร่ รางวัลของคุณ ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เลือกผู้ให้บริการสล็อตที่เหมาะสม เมื่อคุณเลือกสล็อตจากผู้ให้บริการที่เหมาะสมคุณไม่จำเป็นต้องเล่นเดิมพันจำนวนมากต่อการหมุนเพื่อดูการชนะที่หมุนเวียนนักพัฒนาเกมบางคนไม่ได้รับความเท่าเทียมกันและมีเหตุผลว่าทำไมบางเกมถึงได้รับความนิยมมากกว่าเกมอื่น ๆ ในสล็อต เช่น The Dog House Megaways จาก Pragmatic Play คุณจะต้องเล่นเดิมพัน เพียงเล็กน้อย และคุณยังสามารถ ชนะรางวัลใหญ่ ได้ คุณยังสามารถชนะ การเดิมพันสูงสุด 12, 305x แม้ว่าคุณจะเล่นที่ 0.20 ปอนด์ต่อการหมุนซึ่งเป็นการเดิมพันที่ต่ำที่สุด เลือกเกมสล็อตที่มีรางวัลเล็กที่สุด โอกาสที่ดีที่สุดในการชนะในระยะสั้นคือการเลือกเกมที่มีแจ็คพอตน้อยที่สุด ยิ่งมีขนาดเล็กเท่าไหร่คุณก็จะชนะได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเพิ่มโอกาสในการเดินจากไปในฐานะผู้ชนะ ในทางกลับกันยิ่งแจ็คพอตใหญ่เท่าไรก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้นและคุณจะสูญเสียเงินส่วนใหญ่ของแบ๊งค์ของคุณเว้นแต่คุณจะระมัดระวัง นอกจากนี้ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเล่นเพื่อสร้างรางวัลใหญ่เหล่านั้นดังนั้นนี่คือเหตุผลที่คุณมีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะได้รับรางวัลใหญ่ เราไม่ได้บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคุณต้องการอัตราต่อรองและโอกาสที่ดีกว่าในการชนะการทำแจ็คพอตที่น้อยลงจะทำให้คุณได้รับสิ่งนั้น จัดการงบของคุณอย่างถูกต้อง หากเราไปถามนักพนันมืออาชีพเกี่ยวกับ เคล็ดลับในการเริ่มเล่นสล็อตออนไลน์ พวกเขาส่วนใหญ่จะแนะนำ ให้รู้จำนวนเงิน ที่คุณตั้งเป้าไว้ และใช้จ่ายในการเล่น อย่างไรก็ตามการตั้งงบ และการรู้ว่าคุณยินดีจ่าย / เสียเท่าไหร่เป็นเพียง ครึ่งหนึ่ง ของกลยุทธ์สล็อตออนไลน์ ที่ดีที่สุด คำแนะนำที่ดีที่สุด ของเราคือการทราบและตรวจสอบช่วงการเดิมพันทั้งหมดของเกมสล็อตที่คุณกำลังจะเล่นเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อแบ๊งค์ของคุณ หากคุณมีแบ๊งค์เล็ก ๆ...
Read More
ส่อง 4 หุ้นสายการบิน อ่วม ติดลบ ปี 2020

ส่อง 4 หุ้นสายการบิน อ่วม ติดลบ ปี 2020

4 หุ้นสายการบิน อ่วม ติดลบหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพราะพิษโควิด-19 บ่งชี้ผ่านไตรมาส 2 ปี 2563 ขาดทุนสุทธิเฉียด 'หมื่นล้าน' ด้าน 'เอกชน' ปรับโมเดลใหม่สอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน หวังคืนชีพครึ่งปีหลัง การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) เป็นชนวนเหตุสำคัญที่ฉุด 'อุตสาหกรรมการบินโลก' ตกต่ำสุด ! หลังอุตสาหกรรมการบินต่างได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการปิดประเทศ (ล็อกดาวน์) และ การปิดพรมแดน ทำให้การเดินทางต้องระหว่างกันต้อง 'หยุด' เพื่อหวังเป็นการหยุดยั้งการระบาดของโควิด-19 ที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน หากย้อนกลับไปดูปัญหาของธุรกิจสายการบินไม่ใช่เพิ่งมาเกิดขึ้นในปีนี้ ! แต่ลองไล่เรียงดูพบว่า 'จุดเริ่มต้น' คือ ช่วงปี 2558 เป็นต้นมา สะท้อนผ่านจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบโลกที่พุ่งสูงขึ้นมาก จนกลายมาเป็นอุปสรรต่อความสามารถทำกำไรของธุรกิจสายการบิน เนื่องจากธุรกิจสายการบินมีต้นทุนน้ำมันคิดเป็นกว่า 30% ประกอบกับภาวการณ์ 'แข่งขัน' ของอุตสาหกรรมการบินที่ 'รุนแรง' ต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของราคา การแข่งจันขยายเส้นทางบินใหม่ๆ และต่อมาถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง สารพัดปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นมานั้น ก็ยังไม่ 'ร้ายแรง' เท่ากับผลกระทบของโควิด-19 ! เพราะที่ผ่านมาเปรียบเสมือนเป็นการ 'แช่แข็ง' ธุรกิจสายการบินแบบยังหาทางรอดไม่เจอ หลังธุรกิจไม่สามารถหารายได้เข้ามาได้เลย จนส่งผลให้ 2 สายการบินไทย ต้องเดินเข้าสู่กระบวนการขอศาลล้มลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการ สะท้อนผ่าน ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 ของ '4หุ้นสายการบิน' ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ 'ติดลบ' กันถ้วนหน้า นั่นคือ บมจ.การบินไทย หรือ THAI เจ้าของสายการบินไทย บมจ. การบินกรุงเทพ หรือ BA เจ้าของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส บมจ. เอเชีย เอวิชั่น หรือ AAV เจ้าของสายการบินไทยแอร์เอเชีย และ บมจ.สายการบินนกแอร์ หรือ NOK เจ้าของสายการบินนกแอร์ ตัวเลข 'ขาดทุนสุทธิ' โดย 4 หุ้นสายการบิน อาการหนักตัวเลข 'ขาดทุนสุทธิ' ไตรมาส 2 ปี 2563 หุ้น THAI ขาดทุน 5,339.90 ล้านบาท หุ้น BA ขาดทุน 2,974.80 ล้านบาท หุ้น AAV ขาดทุน 1,141.30 ล้านบาท และ หุ้น NOK ยังไม่ส่งงบไตรมาส 2 ปี 2563 (โดยขอเลื่อนส่งงบเป็นวันที่ 31 ส.ค.นี้) ส่งผลให้ไตรมาส 2 ปี 2563 หุ้นสายการบินมีผลขาดทุนสุทธิเฉียด 'หมื่นล้านบาท' ขณะที่ ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) ของ THAI , BA , AAV และ NOK ขาดทุนสุทธิ 28,016.50 ล้านบาท 3,313.40 ล้านบาท 1,812.80 ล้านบาท และ ยังไม่ส่งงบ ตามลำดับ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกหุ้นสายการบินขาดทุนสุทธิรวม 3.3 หมื่นล้านบาท ! ทว่า...
Read More
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 10 ส.ค. 63 ถึง 17 ส.ค. 63

สรุปมูลค่าการซื้อขาย 10 ส.ค. 63 ถึง 17 ส.ค. 63

มาติดตาม สรุปมูลค่าการซื้อขาย ตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค. 63 ถึงวันที่ 17 ส.ค. 63 ย้อนหลัง 5 วันที่จะทำให้คุณได้ทันตลาดหุ้นมากขึ้น สรุปมูลค่าการซื้อขาย ข้อมูลการซื้อขายจะถูกปรับปรุงจากข้อมูลสิ้นวันที่เป็นค่าทางการประมาณ 18:30 น. 10 ส.ค. 6311 ส.ค. 6313 ส.ค. 6314 ส.ค. 6317 ส.ค. 63ดัชนี SET1,322.01(-0.18%)1,336.84(+1.12%)1,346.69(+0.74%)1,327.05(-1.46%)1,327.76(+0.05%)ดัชนี SET50853.92(-0.35%)866.77(+1.50%)878.70(+1.38%)863.69(-1.71%)865.28(+0.18%)ดัชนี SET1001,908.57(-0.23%)1,933.27(+1.29%)1,953.18(+1.03%)1,922.55(-1.57%)1,926.31(+0.20%)ดัชนี sSET617.55(+0.70%)623.20(+0.91%)621.32(-0.30%)617.00(-0.70%)619.43(+0.39%)ดัชนี SETCLMV918.95(+0.41%)918.24(-0.08%)914.25(-0.43%)905.53(-0.95%)906.17(+0.07%)ดัชนี SETHD906.59(+0.14%)910.71(+0.45%)928.34(+1.94%)910.41(-1.93%)912.91(+0.27%)ดัชนี SETTHSI801.25(-0.23%)810.79(+1.19%)821.43(+1.31%)806.14(-1.86%)808.54(+0.30%)ดัชนี SETWB887.89(-0.06%)906.69(+2.12%)908.71(+0.22%)901.48(-0.80%)900.82(-0.07%)ดัชนี mai313.54(+1.32%)313.37(-0.05%)311.57(-0.57%)307.71(-1.24%)306.38(-0.43%) ปริมาณการซื้อขาย ('000 หุ้น) 10 ส.ค. 6311 ส.ค. 6313 ส.ค. 6314 ส.ค. 6317 ส.ค. 63SET*15,864,896.9622,699,590.3924,235,322.2820,199,779.082,287,605.77mai*674,230.44677,332.14913,830.38809,294.22138,837.66 มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท) 10 ส.ค. 6311 ส.ค. 6313 ส.ค. 6314 ส.ค. 6317 ส.ค. 63SET37,417.7571,983.8777,812.7658,050.785,405.23mai2,252.911,834.042,230.901,561.82376.84 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ล้านบาท) 10 ส.ค. 6311 ส.ค. 6313 ส.ค. 6314 ส.ค. 63SET14,331,061.1314,481,749.7614,589,083.0614,376,538.69mai221,681.57221,518.69220,263.69217,555.94 P/E (เท่า) 10 ส.ค. 6311 ส.ค. 6313 ส.ค. 6314 ส.ค. 63SET19.0919.7420.5720.88mai24.0224.7224.0925.89 P/BV (เท่า) 10 ส.ค. 6311 ส.ค. 6313 ส.ค. 6314 ส.ค. 63SET1.481.501.511.50mai1.551.561.551.53 อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%) 10 ส.ค. 6311 ส.ค. 6313 ส.ค. 6314 ส.ค. 63SET3.823.783.753.80mai2.852.852.862.90 บางคนที่พึ่งจะมาสนใจที่จะเล่นหุ้นเราก็อยากแนะนำบทความนี้ที่จะให้คุณเข้าใจการเล่นหุ้นมากขึ้น วิธีเริ่มเล่นหุ้น แล้วถ้าคุณอยากพักผ่อนกับเรื่องเครียดๆแต่เงินเก็บไม่ได้เยอะมาก ต้องตามมาที่นี่เลย งบน้อย เที่ยวไหนในไทยได้บ้าง ทำใหคุณได้คลายเครียดและพักสมองไปเที่ยวให้สนุก ...
Read More
ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยสรุป ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย ประจำสัปดาห์ 20-24 ก.ค. 2563 ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ มีมูลค่ารวม 427,728.97 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 85,545.79 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 6% หมายเหตุ ตราสารหนี้ คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ถือ มีสถานะเป็นเจ้าหนี้ และผู้ออกมีสถานเป็นลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้จะได้รับผลตอบแทนในรูปของ ดอกเบี้ย อย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ และจะได้รับเงินต้นคืน เมื่อครบกำหนด ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของ ตราสารแล้ว จะพบว่ากว่า 65% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 277,280 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (state Agency Bond) ซึ่งส่วน ใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 99,065 ล้านบาท และ หุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 16,223 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23% และ 4% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ สำหรับพันธบัตรรัฐบาล ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB24DB (อายุ 4.4 ปี) LB21DA (อายุ 1.4 ปี) และ LB29DA (อายุ 9.4 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายใน แต่ละรุ่นเท่ากับ 24,179 ล้านบาท 9,470 ล้านบาท และ 8,947 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) รุ่น BAY211A(AAA(tha)) มูลค่าการซื้อขาย 1,260 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รุ่น TRUE217B (BBB+) มูลค่าการซื้อขาย 1,203 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รุ่น LHFG216A (Non-Rated) มูลค่าการซื้อขาย 978 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพันธบัตรปรับลดลงเล็กน้อย ด้านปัจจัยต่างประเทศ ด้านปัจจัยต่างประเทศ สหรัฐฯ รายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์อยู่ที่ระดับ 1.416 ล้านราย สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1.3 ล้านราย ขณะที่ญี่ปุ่นรายงานตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือน มิ.ย. อยู่ที่ระดับ 0.1% (YoY) เท่ากับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ตลาดติดตามการ ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในสัปดาห์หน้า สัปดาห์ที่ผ่านมา(20 ก.ค. 63 - 24 ก.ค. 63) มีกระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิ +1,318 ล้านบาท โดยเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น(ST) (อายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี) -3,428 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (LT) (อายุมากกว่า...
Read More
ภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ ตลาดเงินต่างประเทศ

ภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ ตลาดเงินต่างประเทศ

ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการระบาดของโรคโควิด ส่งผลให้ ภาวะตลาดหุ้น หลายๆ ประเทศนั้นมีอัตราการเติบโตลดลง และต้องรีบปรับตัวให้เร็วที่สุด สรุปคร่าวๆเกี่ยวกับภาวะตลาดหุ้นได้ดังนี้ ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่พุ่งเกินคาดในเดือน มิ.ย.นั้น ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าเศรษฐกิจของประเทศจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกันพยุงเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,812.88 จุด เพิ่มขึ้น 217.08 จุด หรือ +0.85% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,100.29 จุด เพิ่มขึ้น 47.05 จุด หรือ +1.54% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,058.77 จุด เพิ่มขึ้น 184.61 จุด หรือ +1.87% ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ ดยได้แรงหนุนจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากจีนเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตและภาคบริการที่แข็งแกร่งขึ้นในเดือน มิ.ย. และประเทศต่างๆ ในยุโรปได้ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อเปิดดำเนินการด้านเศรษฐกิจอีกครั้ง นอกจากนี้ การจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจสหภาพยุโรปวงเงิน 1.8 ล้านล้านยูโร และความหวังเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ได้ช่วยหนุนตลาดด้วย ดัชนี Stoxx Europe 600 บวก 0.13% ปิดที่ 360.34 จุด และปรับตัวขึ้น 12.44% ในไตรมาส 2 ซึ่งนับเป็นการปรับขึ้นรายไตรมาสมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2558 ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,310.93 จุด เพิ่มขึ้น 78.81 จุด หรือ +0.64% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,935.99 จุด ลดลง 9.46 จุด หรือ -0.19% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,169.74 จุด ลดลง 56.03 จุด หรือ -0.90% สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 19.3 ดอลลาร์ หรือ 1.08% ปิดที่ 1,800.5 ดอลลาร์/ออนซ์ และตลอดทั้งไตรมาส 2 ปีนี้สัญญาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.8% สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 57.3 เซ็นต์ หรือ 3.17% ปิดที่ 18.637 ดอลลาร์/ออนซ์ สัญญาแพลทินัมส่งมอบเดือน ต.ค. พุ่งขึ้น 23 ดอลลาร์ หรือ 2.78% ปิดที่ 851.2 ดอลลาร์/ออนซ์ สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือน ก.ย. พุ่งขึ้น 33.8 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 1,966.90 ดอลลาร์/ออนซ์ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9475 ฟรังก์ จากระดับ 0.9514 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 1.3586 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3688 ดอลลาร์แคนาดา...
Read More
อนาคตของหุ้นไทย

อนาคตของหุ้นไทย

อนาคตของหุ้นไทย อนาคตของหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยสิ้นสุดยุคที่น่าสนใจแล้วหรือไม่ หลังจากต้นเดือนเมษายน ดัชนีหุ้นไทย rebound กลับขึ้นมายืนเหนือ 1,200 จุดได้อีกครั้ง ผลจากการชะลอของการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ผสานกับมาตรการการเงินและการคลังทั่วโลก แต่นักลงทุนยังคงเกิดคำถามดังกล่าวขึ้น สองสามปีมานี้ หุ้นไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์ทางลบมาหลายๆ เรื่อง และที่หนักที่สุดก็คือเรื่องวิกฤตโควิดโลกที่หนักกว่าทุกๆ เรื่องก่อนหน้านี้รวมกัน ราคาหุ้นไทยจึงไหลดิ่งลงมาอย่างยาวนาน และแม้ว่าต้นเดือนเมษายน ผลจากการที่จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มชะลอการเพิ่มรายวัน บวกกับสารพัดมาตรการการเงิน และการคลังของทั่วโลก สามารถทำให้ดัชนีหุ้นไทย rebound กลับขึ้นไปอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ยืนเหนือ 1,200 จุดได้อีกครั้ง วิกฤตราคาหุ้น เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งกับตลาดหุ้นไทย ทุกครั้งก็จะกินเวลาระยะหนึ่ง สั้นบ้างยาวบ้าง แตกต่างกันไปตามระดับของปัญหา แต่หลังจากผลกระทบจบลง ราคาหุ้นในปีต่อมาก็มักจะทะยานขึ้นได้แรงเสมอ เช่นหลังจบวิกฤตต้มยำกุ้ง 2541 การจบวิกฤตซับไพร์ม 2551 หรือย้อนไกลไปเมื่อครั้ง วิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซีย 2533  ก็ตาม หลังวิกฤต ตลาดหุ้นก็มักกลับมาทำกำไรที่ดี พร้อมๆกับเศรษฐกิจฟื้นตัว  ในทุกรอบที่ฟื้นตัว ก็จะเกิดโคตรเซียนรุ่นใหม่ ขึ้นมาเล่าขานความสำเร็จ ในการเข้าเริ่มลงทุนในช่วงที่ราคาตกต่ำตอนวิกฤตทุกครั้งไป ตลาดหุ้นจึงไม่เคยตาย แค่ตกแรงชั่วคราวเท่านั้น การคาดการณ์จุดสิ้นสุดที่แน่นอนทำได้ไม่ง่าย ผู้ลงทุนต้องเกาะติด คิดวิเคราะห์ เกี่ยวกับต้นตอของวิกฤต ซึ่งสำหรับครั้งนี้คือการระบาดของโควิด19 ว่าจะหมดฤทธิ์เมื่อใด  รวมถึงมาตรการการเงินการคลัง ของไทยและทั่วโลก ที่จัดหนักแล้ว อาจมีหนักกว่าเดิม จนถึงระดับหนึ่งก็จะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นได้ แล้วตัวเลขเศรษฐกิจค่อยตามมาทีหลัง เพราะตลาดหุ้นเป็น Leading Indicator นำ ในยามเกิดวิกฤตใหญ่ที่ไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน มูลค่าของหุ้นย่อมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผู้ลงทุนต้องวางข้อมูลเดิมก่อนหน้านี้ไป ไม่ว่าจะตัวเลขผลดำเนินงานปีก่อน หรือบทวิเคราะห์เดือนก่อน เพราะข้อมูลเหล่านั้นจะล้าสมัย ไม่ทันกับพัฒนาการของของวิกฤต ที่อาจแย่ลงมาก หรือดีขึ้นมาก ก็เป็นได้ทั้งสิ้น ใช้ EPS อนาคต ที่ปรับใหม่สดเสมอ ยกตัวอย่างเช่น รอบนี้เริ่มมีผู้คาดการณ์ล่าสุดว่า EPSของตลาดโดยเฉลี่ย จะเหลือเพียง 70 บาท แตกต่างจากของเก่าเมื่อต้นปีที่ 90-100 บาท รวมทั้งหุ้นทุกบริษัท ตัวเลขเปลี่ยนแปลงไปมากมาย โดยเฉพาะธุรกิจที่ถูกวิกฤตครั้งนี้ถล่มโดยตรง หุ้นที่เกี่ยวพันกับการท่องเที่ยวเดินทาง ธุรกิจลูกค้าต้องไปแออัดกัน การเล็งหุ้นที่จะเข้าลงทุน ไม่สามารถดูอดีต เพราะอนาคตอาจเป็นหนังคนละม้วน เราต้องคิดวิเคราะห์ไปข้างหน้าว่า 1 ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแรงพอจะรองรับผลกระทบจากโควิดจนพ้นการระบาดหรือไม่   โดยเฉพาะหากโควิดยาวนานกว่าที่คิด 2 ผู้บริหารของบริษัทมีวิสัยทัศน์ เฉลียวฉลาด มีแววที่จะสามารถบริหารกิจการผ่านพายุร้ายครั้งนี้ได้หรือไม่ 3 ผลจากเหตุการณ์โควิดครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงสภาพธุรกิจของบริษัทอย่างไร ดีขึ้นหรือแย่ลง  เปลี่ยนไปชั่วคราว หรือเปลี่ยนไปอย่างถาวร ถ้าดีครบทั้ง 3 ประการ หุ้นที่ว่าก็น่าจะอยู่ในจอเรดาร์ของเราได้แล้วครับ ด้วยความที่ข้อมูลอดีตแทบจะต้องวางไว้ข้างๆ แล้วแสวงหาข้อมูลวิเคราะห์ไปข้างหน้า เราจำเป็นต้องดูข้อมูลจากบทวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน ผมขอแนะนำให้มาดูข้อมูลที่สมาคมนักวิเคราะห์ฯได้ขอความร่วมมือจากสมาชิก นำมารวมกันให้ผู้ลงทุนได้ใช้ หลังจากวิกฤตโควิดผ่านพ้นไป หุ้นไทยที่ท่านได้เลือกเฟ้นธุรกิจที่ดีตามแนวทางที่กล่าวข้างต้น ยังน่าจะเป็นความหวังในการออมระยะยาวได้ดีระดับหนึ่ง แม้จะไม่ดีมากเท่าช่วงยุคทองก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่หลักการหนึ่ง ซึ่งผมแนะนำเสมอคือ ต้องกระจายเงินลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์ ป้องกันความไม่แน่นอน นอกจากนั้น ในช่วงข้างหน้า สินทรัพย์ลงทุนต่างๆก็ยังน่าจะผันผวนมากได้อีก คงต้องมีการกระจายจังหวะเวลา ไม่ควรทุ่มเต็มที่ หรือหนีเต็มตัว ในจังหวะเดียวครับ สรุปภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในวันสุดท้ายของสัปดาห์ในแดนบวกซึ่งเป็นผลมาจากการที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯได้เปิดเผยตัวเลขอัตราว่างงานในเดือน เม.ย. อยู่ที่ระดับ 14.7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 90 ปี นับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1930 แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 16% ขณะทีอีกหนึ่งปัจจัยนั้นเป็นผลมาจากการที่นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีของจีนเผยว่าได้ทพูดคุยกับนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และ นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และยืนยันว่าทั้งสองประเทศจะยังคงปฎิบัติตามข้อตกลงทางการค้า "เฟสที่ 1"ซึ่งเป็นการยุติกระแสข่าวที่่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯเตรียมเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ โดยให้เหตุผลว่าจีนเป็นต้นเหตุของการระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งกระทบกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยหุ้นทุกกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมดโดยหุ้นของ Exxon Mobil เพิ่มขึ้น 4.49%  หุ้นของโบอิ้งเพิ่มขึ้น 3.92% และ หุ้นของ Apple 2.38% ดัชนี ดาวโจนส์ : ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดตลาดที่ระดับ 24,331.32 จุด เพิ่มขึ้น 455.43 จุด หรือ 1.91% ดัชนี NASDAQ : ตลาดหุ้นนิวยอร์ค...
Read More