อัพเดทสถานการณ์โควิด 19 ( เช็คก่อนเดินทาง )

อัพเดทสถานการณ์โควิด 19 ( เช็คก่อนเดินทาง )

อัพเดทสถานการณ์โควิด 19  อาจมีแนวโน้มกลับมารุนแรงอีกครั้ง  ในช่วงนี้ใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดี ทำให้ประชนหลายคนเกิดความกังวลและลังเลว่าจะกลับบ้านดีไหม?  เนื่องเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นแล้วมีจังหวัดไหนบ้างต้องกักตัว 14 วัน วันนี้เรา สรุปรวมจังหวัดที่ต้องกักตัวหรือมีมาตรฐานพิเศษมาไว้ให้แล้ว พร้อมอัพเดทตลอดเวลาสามารถเข้าดูได้ตลอด สำหรับมาตรการที่เป็นมาตรฐานตอนนี้ โดยมีจังหวัดที่ประกาศกักตัว และจะกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่สีแดงทั้ง 5 จังหวัด ได้แก่  กรุงเทพฯ ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม นนทบุรี มีจังหวัดที่เพิ่มมาตรการป้องกัน ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์  รายงานตัวกักตัว 14 วัน หรือขอตรวจ Rapid Test ที่ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ หากผลเป็นลบไม่ต้องกักตัว (ผู้ขอตรวจชำระค่าใช้จ่าย 600 บาท)เดินทางมาจังหวัดอื่นๆนอกเหนือพื้นที่สีแดง ไม่ต้องกักตัว ไม่ต้องตรวจ Rapid Test ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ที่ผ่านกระบวนการ State Quarantine ไม่ต้องกักตัวอีก  จังหวัดนครราชสีมา (โคราช) ต้องรายงานตัวกับผู้นำชุมชน หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อ.สม.) ในพื้นที่ซึ่งอาศัยอยู่ ภายใน 12 ชั่วโมงนับแต่เดินทางมายังจังหวัดนครราชสีมาไม่ต้องกักตัว แต่ห้ามเดินทางไปยังสถานที่ชุมชน แออัดในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เช่น สถานที่ท่องเที่ยว สถานบันเทิง ตลาด เป็นต้นหากไม่สามารถกักตัวได้ จะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาเท่านั้น ด้วย แรพิด เทสต์ (Rapid Test) มีค่าใช้จ่าย จำนวน 600 บาทผู้ตรวจที่มาจากพื้นที่สีแดง จะต้องออกค่าใช้จ่ายเองนำผลการตรวจมายืนยันกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จึงจะสามารถเข้าในพื้นที่ที่ต้องการได้ จังหวัดสุรินทร์ รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ทันที กักตัว ณ ที่พักอาศัย 14 วัน ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ชุมพร ตาก ราชบุรี ชลบุรี สุพรรณบุรี นราธิวาส กาญจนบุรี ให้รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ทันทีเมื่อเดินมาถึง จังหวัดอื่นๆให้สังเกตอาการ จังหวัดบึงกาฬ กักตัวในบ้านพัก ไม่น้อยกว่า 10 วัน หากมีอาการมีไข้ น้ำมูกไหล จมูกไม่ได้รับกลิ่น ลิ้นไม่รับรส หรือสิ่งผิดปกติใดๆ ให้รีบส่งตัวบุคคลนั้นไปยังโรงพยาบาลหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬกิจกรรมต่างๆให้ยึดปฏิบัติตามมาตรฐาน D-M-H-T-T หลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมในพื้นที่คับแคบ จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุม 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี ตาก ราชบุรี และมี ประวัติเสี่ยง ให้กักตัว 14 วัน ผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงให้สังเกตอาการตัวเอง 14 วันผู้ที่เดินทางมาจากทั้ง 9 จังหวัด ให้รายงานตัวผู้นำชุมชม เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อคัดกรองความเสี่ยง  จังหวัดขอนแก่น สำหรับ ผู้ที่มาจากพื้นที่สีแดง 5 จังหวัด ให้รายการตัวกับเจ้าหน้าที่และกักตัวเองที่บ้าน (Self-Quarantine ) และ ลงทะเบียนผ่าน QR Code ตลอดในช่วงเวลาที่อยู่ในพื้นที่ขอนแก่น เพื่อที่จะได้เช็คประวัติ ทามไลน์ได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ทางจังหวัดขอนแก่นเปิดสายด่วนโควิดเพื่อรองรับการติดต่อสอบถามจากประชาชน เบอร์ 0979597675  และ 0885527388 จังหวัดมุกดาหาร มุกดาหารแบ่งจังหวัดและเขตพื้นที่ละเอียดได้แก่กรุงเทพฯ เขตบางแค ภาษีเจริญ บางขุนเทียน วัฒนา(ย่านทองหล่อ เอกมัย) คลองเตยปทุมธานี อ.ธัญบุรี อ.ลำลูกกานนทบุรี อ.บางใหญ่สมุทรปราการ อ.เมืองนครปฐม อ.พุทธมณฑลตาก อ.แม่สอดสมุทรสาคร อ.เมือง อ.กระทุ่มแบน อ.บ้านแพ้วพื้นที่เสี่ยงอื่นๆที่มีผู้ติดเชื้อภายใน 14 วัน  หากมาจากพื้นที่ดังกล่าวเมื่อถึงจังหวัดมุกดาหารให้สแกนคิวอาร์โค้ด Data Muk จากนั้นให้รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ ให้กักตัวที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน สอบสวนโรคโดย เจ้าพนักงาน  จังหวัดลำปาง สำหรับประชาชนที่จะเดินทางกลับ...
Read More
ทำความรู้จักกับ 6 กองทุนรวมแต่ละประเภท

ทำความรู้จักกับ 6 กองทุนรวมแต่ละประเภท

ทำความรู้จักกับ 6 กองทุนรวมแต่ละประเภท วันนี้เราจะแนะนำให้คุณรู้จักกับประเภทของกองทุนรวมว่ามีกี่ประเภทและมีนโยบายการลงทุนอย่างไรบ้าง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาและตัดสินใจลงทุน เพื่อที่จะสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมได้ตรงกับวัตถุประสงค์ทางการเงินที่คุณได้วางแผนไว้นั่นเอง การแบ่งประเภทของกองทุนรวม แบ่งได้หลายประเภท อาทิเช่น ตามลักษณะการจัดจำหน่ายและการไถ่ถอนคืนหน่วยลงทุน ตามการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่วันนี้เราจะพูดถึงการแบ่งประเภทกองทุนรวมตามนโยบายการลงทุน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1.กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในเงินฝาก ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล โดยเป็นการลงทุนในตราสารที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยง หรือต้องการลงทุนในระยะสั้นเพื่อใช้เป็นที่พักเงิน 2.กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ ที่ออกโดยภาครัฐและเอกชน เช่น พันธบัตรรัฐบาล/ พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (อายุเกิน 1 ปีขึ้นไป), หุ้นกู้บริษัทเอกชน (Investment Grade) จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรับผลตอบแทนเป็นรายได้ประจำในรูปของดอกเบี้ย 3.กองทุนรวมผสม (Balanced Fund) คือ กองทุนรวมที่มีการลงทุนแบบกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งเงินฝาก ตราสารหนี้ ตราสารทุน หรือตราสารอื่นๆ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างสูง เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตการลงทุนผสมในสินทรัพย์หลายประเภทเพื่อกระจายความเสี่ยง หรือเพื่อเพิ่มผลตอบแทนในระยะสั้น 4.กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนประเภทต่างๆ เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) หน่วยลงทุนของกองทุนรวม โดยมีสัดส่วนการลงทุนไม่น้อยกว่า 65% จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง ให้ผลตอบแทนสูง เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ได้ 5.กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Sector Fund) คือ กองทุนรวมที่มุ่งลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรมเพียงบางหมวด เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร โดยมีสัดส่วนการลงทุนไม่น้อยกว่า 65% จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นการลงทุนแบบกระจุกตัวในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง แต่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในภาวะตลาดที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวมีผลประกอบการดี เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและมีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมบางกลุ่มจะเติบโตได้ดี 6.กองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือก (Alternative Investment Fund) คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ (นอกเหนือจากสินทรัพย์พื้นฐาน) เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ น้ำมัน สินค้าเกษตร ตราสารอนุพันธ์ จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ รวมทั้งอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือการลงทุนในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนรวม เนื่องจากสินทรัพย์ทางเลือก เป็นสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนไม่ค่อยจะสัมพันธ์กับสินทรัพย์พื้นฐาน เช่น หุ้น หรือ ตราสารหนี้ เมื่อเรา ทำความรู้จักกับ 6 กองทุนรวมแต่ละประเภท ซึ่งมีการแบ่งตามนโยบายการลงทุนกันไปแล้ว คุณก็สามารถใช้ข้อมูลข้างต้นประกอบการตัดสินใจ เลือกลงทุนในกองทุนรวมได้ตรงกับวัตถุประสงค์ทางการเงินของคุณได้แล้วค่ะ ครั้งหน้าเราจะมีบทความดีๆ เกี่ยวกับการเงินการลงทุนเรื่องอะไรมานำเสนอ ต้องรอติดตามกันนะคะ ลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย หากคุณได้ลงทุนแล้วเงินลงทุนสามารถทำงานให้คุณได้ จนได้รับเงินตอบแทนกลับเข้ามาเพราะปัญหาการมีเงินทุนมีความเสี่ยง แถมบางครั้งทุนของคุณอาจไม่เพียงพอ จนผลตอบแทนไม่ได้ผลตามที่คาด ดาวดวงใหม่ 6 หนุ่มหล่อ ออร่าพุ่งจากทางช่อง 3 อนาคตไกล พร้อมกับเร็วๆนี้จะมีเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม กับคอนเสิร์ตระเบิดความมันของจักรวาลในรอบ 50 ปี รับรองว่าอลังการสุดๆ อดใจไม่ไหวแล้วเราตามไปทำความรู้จักกันเลยค่ะ ...
Read More
วิธีลงทุนง่าย ๆ แบบความเสี่ยงต่ำ

วิธีลงทุนง่าย ๆ แบบความเสี่ยงต่ำ

วิธีลงทุนง่าย ๆ แบบความเสี่ยงต่ำ คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย หากคุณได้ลงทุนแล้วเงินลงทุนสามารถทำงานให้คุณได้ จนได้รับเงินตอบแทนกลับเข้ามา หรือที่เรียกกันว่า passive income แต่ในการลงทุนนั้น ก็มีอีกหลายคนที่ต้องอกหักกลับไป เพราะปัญหาการมีเงินทุนมีความเสี่ยง แถมบางครั้งทุนของคุณอาจไม่เพียงพอ จนผลตอบแทนไม่ได้ผลตามที่คาด แต่อย่าเพิ่งท้อใจไปครับเพราะวันนี้เรามี 4 วิธีลงทุนแบบง่าย ๆ แถมความเสี่ยงต่ำมาฝากกัน ไปติดตามพร้อมๆ กันเลยค่ะ 1.ฝากประจำ วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด จำนวนเงินไม่มากก็สามารถลงทุนได้แถมได้ผลตอบแทนที่แน่นอนด้วยการออมเงิน ซึ่งการฝากประจำถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เพราะจำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับจะมากกว่าการออมปกติ แต่เป็นการลงทุนที่คุณจะต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัดตามเงื่อนไขของประเภทเงินฝากประจำ ซึ่งโดยปกติแล้ว เงื่อนไขเมื่อฝากประจำจนครบกำหนด ก็สามารถถอนเงินพร้อมดอกเบี้ยได้ทันที และทำให้คุณได้รับเงินก้อนตรงตามที่คำนวณไว้ 2.ลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average) หากใครที่มั่นใจในตัวเองว่า ตนเองนั้นมีวินัยทางการเงินที่ค่อนข้างมาก ก็ลองมาลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือที่รู้จักกันว่า DCA (Dollar Cost Average) ครับ เป็นวิธีที่ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมเป็นจำนวนเงินเท่ากันในทุก ๆ เดือน คล้ายกับการฝากเงินประจำ เพียงแต่จะมีความเสี่ยงของตลาดหลักทรัพย์แอยู่บ้าง ซึ่งหากคุณศึกษาการลงทุนอย่างดี เลือกลงทุนกับธุรกิจที่มีโอกาสเติมโต โอกาสจะสร้างผลกำไรก็เป็นเรื่องง่าย หากต้องการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนแบบ DCA ก็สามารถดูได้ที่นี่เลยครับ มาเริ่มต้นลงทุนด้วยการออมเงินแบบ DCA กันเถอะ 3.ทองคำแท่ง การลงทุนในทองคำแท่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สร้างผลตอบแทนดีเช่นกัน คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับทองรูปพรรณ แต่ทองคำแท่งเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนใจมากกว่า เนื่องจากมีค่าบล็อกที่ถูกกว่าค่ากำเหน็จทองรูปพรรณ และราคารับซื้อของทองคำแท่งยังถูกหักน้อยกว่าทองรูปพรรณด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำแท่ง คุณอาจจะต้องรับความเสี่ยงในเรื่องของราคาทองที่ขึ้นและลงอยู่บ้างนะครับ 4.กองทุนรวม หากใครที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นมากนักก็ควรหันไปมองการลงทุนด้วยกองทุนรวมดีกว่า ยิ่งเป็นนักลงทุนมือใหม่ด้วยแล้วลองหันไปมองพวกกองทุนรวมตราสารหนี้ หรือ ตราสารตลาดเงิน ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ และการลงทุนแบบนี้ ใช้เงินทุกเริ่มต้นเพียง 1,000-2,000 บาท ก็สามารถลงทุนได้ แต่เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้นผลตอบแทนที่ได้รับก็จะน้อยตามเงินลงทุนทั่วไปนั่นเอง การลงทุนเป็นเรื่องที่ไม่ยาก ถึงแม้จะมีงบในการลงทุนไม่มากก็สามารถลงทุนได้ โดยอาศัยวินัยทางการเงินของคุณในทุก ๆ เดือน พร้อมกับการศึกษาข้อมูล วิธีลงทุนง่าย ๆ แบบความเสี่ยงต่ำ อย่างละเอียด ก็จะช่วยให้ผลตอบแทนจากกาารลงทุนเห็นผลในอนาคตอย่างแน่นอน เรซูเม่ (Resume) คือ ประวัติย่อของผู้สมัครงาน เป็นเครื่องมือที่เราใช้นำเสนอตัวเอง ให้กับคนที่มีอำนาจเลือกเราเข้าทำงาน โดยเรซูเม่นั้นจะเป็นด่านแรกที่จะทำให้ฝ่ายบุคคลรู้จักเรา ซึ่งถ้าเรซูเม่เราน่าสนใจ เขาก็จะเลือกเราให้เข้าสู่ด่านต่อไปนั่นเอง ซีรี่ย์เกาหลี เรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยี สายไอทีห้ามพลาดเลยค่ะ กับซีรี่ย์เกาหลีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับไอที คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี! ต้องชมเลยว่าเกาหลีเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใส่ไว้ในเนื้อเรื่องได้ดีมาก ๆ ดูเพลินเลยค่ะ ...
Read More
5 ข้อผิดพลาด “เรซูเม่” แบบไหนที่เขา “คัดทิ้ง” ไม่พิจารณา

5 ข้อผิดพลาด “เรซูเม่” แบบไหนที่เขา “คัดทิ้ง” ไม่พิจารณา

5 ข้อผิดพลาด “เรซูเม่” แบบไหนที่เขา “คัดทิ้ง” ไม่พิจารณา เรซูเม่ (Resume) คือ ประวัติย่อของผู้สมัครงาน เป็นเครื่องมือที่เราใช้นำเสนอตัวเอง ให้กับคนที่มีอำนาจเลือกเราเข้าทำงาน โดยเรซูเม่นั้นจะเป็นด่านแรกที่จะทำให้ฝ่ายบุคคลรู้จักเรา ซึ่งถ้าเรซูเม่เราน่าสนใจ เขาก็จะเลือกเราให้เข้าสู่ด่านต่อไป อันที่จริง การทำเรซูเม่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือ การทำออกมาให้ถูกหลักและมีคุณภาพต่างหาก เพราะฉะนั้น การมี “เรซูเม่” ที่โดดเด่น ถูกหลักการ มีคุณภาพ เป็นเรื่องจำเป็นหากต้องการจะได้งานทำ ความโดดเด่นที่ว่า ไม่ได้หมายความต้องมีสีสันฉูดฉาด ตกแต่งสวยงามเกินหน้ากระดาษแผ่นอื่น แต่เป็นความโดดเด่นของประวัติ ความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ ชนิดที่เพียงแค่เห็นผ่านตาก็ดึงดูดให้อยากจะหยิบมาพิจารณา การเขียนเรซูเม่เพื่อสมัครงาน จึงเป็นทักษะที่ทุก ๆ คนควรมี เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยหางาน อย่างไรก็ดี มีข้อผิดพลาดบางประการที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ ซึ่งนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่แม้แต่จะเลือกหยิบประวัติเราขึ้นมาพิจารณา แบบนี้แล้ว เราควรระวังและกลับไปปรับปรุงเรซูเม่ของตัวเองอย่างไรบ้าง 1.เน้นสวยงามอลังการมากเกินไป วัตถุประสงค์ของการเขียนเรซูเม่นั้น เป็นเอกสารที่ใช้สำหรับยื่นของานทำ เขาสนใจประวัติที่อยู่ในแผ่นกระดาษมากกว่าความสวยงามอลังการ หากเป็นตำแหน่งงานทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้ต้องการความครีเอท ให้เน้นรูปแบบที่ดูเรียบง่าย สุภาพ จัดหน้าให้อ่านง่ายสะอาดตา ใส่ใจเรื่องการจัดวางข้อความ ใช้ฟอนต์ที่เป็นทางการ และขนาดตัวหนังสือไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป แต่ถ้าเป็นสายงานด้านศิลปะ ก็อาจจะทำให้ดูมีลูกเล่นที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์มากขึ้้น แต่ต้องไม่รก หรือสีสันฉูดฉาด ใช้หลักน้อย ๆ แต่มากก็พอ 2.ใช้อีเมลไม่เป็นทางการ สำหรับการสมัครงาน อะไรที่ดูแล้วไม่เป็นทางการ มันก็แสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพ ความไม่จริงจัง ไม่น่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้น การใช้อีเมลสมัยเรียนที่เป็นชื่อเล่นแล้วตามด้วยภาษาวัยรุ่น ฉายา ตัวหนังสือที่พิมพ์ลวก ๆ ไม่มีความหมาย หรือคำหยาบคาย เอาไว้ใช้สมัครใช้งานเว็บไซต์ สมัครเข้าใช้โซเชียลมีเดีย หรือเอาไว้ใช้ติดต่อกับเพื่อนฝูงเท่านั้นก็พอ อย่านำมาใส่ในเอกสารที่ใช้ยื่นสมัครงานเด็ดขาด ชื่ออีเมลที่เหมาะสมที่สุดคือ ชื่อจริง นามสกุลจริงของตัวเอง สามารถศึกษาวิธีการตั้งชื่ออีเมลที่เหมาะสมได้จาก Google เลย 3.ใช้รูปภาพไม่เหมาะสม การส่งเรซูเม่ไปสมัครงาน เราต้องให้เกียรติกับบริษัทที่กำลังจะสมัครงานด้วย และที่สำคัญ คือให้เกียรติตัวเอง ทำให้ตัวเองดูเป็นมืออาชีพและน่าเชื่อถือ การสมัครไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะใช้รูปภาพเซลฟี่ ภาพที่แต่งกายไม่เป็นทางการ หรือรูปที่ใช้ตั้งเป็นโปรไฟล์โซเชียลมีเดีย แต่ควรใช้ภาพที่แต่งกายสุภาพเป็นทางการ หน้าตรง ซึ่งสมัยนี้ เราไม่จำเป็นต้องเช่าชุดสูทไปถ่ายรูปสมัครงาน ร้านเขาตัดต่อให้ได้ มีสูทให้เลือกหลายแบบเลย การที่เราใช้ภาพไม่เป็นทางการ นั้นแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก เขาอาจปัดตกทันที เพราะดูแล้วไม่น่าจ้างมาร่วมงานด้วยเลย 4.สั้นกุด-ยาวเกินไป สิ่งหนึ่งที่ควรระวังเวลาจะส่งประวัติย่อ นั่นคือความยาว เรซูเม่คือ “ประวัติย่อ” ไม่ใช่ “บทความ” ต่อให้เกียรติประวัติจะยาวเป็นหางว่าวแค่ไหนก็ไม่ควรจะเกิน 1 แผ่นกระดาษ A4 (หน้า-หลัง) คัดเฉพาะประวัติเด่น ๆ ที่เข้ากับสายงานที่สมัคร และควรเขียนเป็นข้อ ๆ มากกว่าการเขียนบรรยาย จะอ่านได้ง่ายกว่า เพราะเจ้าหน้าที่เขาไม่ได้มีเวลามานั่งอ่านประวัติของคนสมัครงานจนครบ ถ้าเขียนยาวเกินไป เขาอาจจะไม่อยากอ่านก็ได้ แต่ถ้าสั้นกุดจนเกินไป ความยาวแค่ครึ่งหนึ่งหรือยังไม่เต็ม 1 ด้าน A4 ก็กระไรอยู่ ดูไม่มีอะไรที่โดดเด่นจะจ้างมาทำงาน 5.มีแต่กราฟิกเต็มไปหมด เด็กสมัยนี้ควรจะระวังมากถึงมากที่สุด คือการใส่ทักษะความสามารถของตนเองในรูปแบบกราฟิก เช่น แผนภูมิหรือหลอดพลังงาน สำหรับเราอาจมองว่าสวย ทันสมัย ไม่จืดชืด และโดดเด่น แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ที่พิจารณาเรซูเม่เขาไม่ปลื้ม สิ่งที่เขาอยากรู้คือถนัดระดับไหน เชี่ยวชาญก็บอกเชี่ยวชาญ พอใช้ก็บอกพอใช้ ไม่ต้องมานั่งวัดระดับสเกลเอง แต่ละคนประเมินไม่เท่ากัน และที่สำคัญ ไม่ดึงความสนใจไปที่ข้อด้อยของเรามากเกินไปด้วย เพราะจะเห็นชัดมากเมื่อความเต็มของหลอดต่างกัน เรซูเม่ไม่ต้องเน้นความสวยงาม ให้เน้นประวัติที่ดี เป็นทางการ และสุภาพสะอาดตา เป็นอย่างไรบ้าง กับ 5 ข้อผิดพลาด “เรซูเม่” แบบไหนที่เขา “คัดทิ้ง” ไม่พิจารณา ที่เรานำมาฝากวันนี้ หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่กำลังจะสมัครงานนะคะ ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า คมนาคมรูปแบบนี้เกิดขึ้น จากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แบบ...
Read More
5 ธุรกิจคาดว่าจะมาแรงในยุค 2021 ที่นักลงทุนไม่ควรพลาด

5 ธุรกิจคาดว่าจะมาแรงในยุค 2021 ที่นักลงทุนไม่ควรพลาด

ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ การจะลงทุนประกอบอาชีพอะไรสักอย่าง ให้ประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่เรื่องยากง่ายเลยผู้ประกอบการจะต้องศึกษาหาความรู้ มีความเข้าใจในรูปแบบของธุรกิจตัวเองให้ได้มากที่สุด และสำหรับหลายคนที่อยากจะเริ่มทำธุรกิจในปี 2021 ที่จะถึงนี้ ก็อาจจะต้องมองภาพรวมของเศรษฐกิจ และสังคมที่ผ่านมาด้วยว่า ไปในทิศทางไหน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตไปได้สวย ดังนั้น และเพื่อให้ทุกคนจับทางได้ถูก วันนี้เราเลยจะขอนำ 5 ธุรกิจที่คาดว่าจะมาแรงในยุค 2021 ที่นักลงทุนไม่ควรพลาด ส่วนจะมีอาชีพใดบ้างนั้น ต้องไปดูกันเองค่ะ การปรับตัวของธุรกิจเพื่อความอยู่รอด หลังจากที่คนเริ่มเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา ทำให้สิ่งที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต และ Lifestyle ของคนเมืองได้เข้ามามีบทบาท และเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ธุรกิจประเภทร้านสะดวกซื้อ, ร้านอาหาร Fast food, ห้างสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์ เป็นต้น และยังส่งผลให้ธุรกิจหลาย ๆ ประเภท ต้องปรับตัวให้เหมาะสม และเข้ากับยุคสมัย เพื่อความอยู่รอดของตัวธุรกิจ อีกธุรกิจหนึ่งที่มีการปรับตัวอย่างชัดเจน คือ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการแข่งกันสร้าง Condominium เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเมือง เพราะคนที่อยู่ในเมืองนั้น ใช้ชีวิตความเร่งรีบ เวลาทำความสะอาดบ้านก็น้อย การอยู่คอนโดมีพื้นที่ใช้สอยน้อยและเดินทางสะดวกจึงเหมาะกับคนเมือง แต่ธุรกิจน่าสนใจที่ตอบโจทย์กับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน มักจะเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว เพราะนักธุรกิจส่วนใหญ่ก็มองออกแล้วว่า “อะไรจะมา อะไรจะไป” สิ่งที่น่าสนใจกว่าจึงเป็นสิ่งที่จะเกิดในยุค 2021 มากกว่า เราจะมาดูกันว่าแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นใน ยุค 2021 มีอะไรบ้าง 1. สังคมผู้สูงอายุ two senior couples taking a selfie on couch at home ในยุค 2021 นั้นประเทศไทยเอง ก็คงจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่โลกทั้งโลกกำลังเผชิญหน้าไม่ได้ นั่นคือสังคมผู้สูงอายุ ในอนาคตนั้นผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนถึง 30% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งคนกลุ่มนี้มีกำลังซื้อมหาศาล และจับจ่ายทุกสิ่งที่มองว่าทำให้เขามีอายุยืนยาว และได้รับความสุขสิ่งที่คนกลุ่มนี้จะใช้บริการ คงจะเป็นการไปเที่ยวพักผ่อน ตามสถานที่ท่องเที่ยว สินค้าประเภท Anti-ageing และอาหารเสริม 2. ความเป็นตัวของตัวเองของคนยุคใหม่ คน Gen Y หรือคนที่มีอายุตั้งแต่ 18-33 ปี กำลังจะเริ่มมีบทบาททดแทนคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขา หรือพวก Gen X กับ Baby Boomer โดยพวก Gen Y เป็นพวกใจร้อน มีความเป็นตัวเองสูงรักอิสระมีความกบฏอยู่ในตัว ชอบความเรียบง่าย ไม่เน้นพิธีรีตองชอบสูตรลัด กล้าได้กล้าเสีย และอยากได้ความรวดเร็ว จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติเหล่านี้ ผลักดันให้ Gen Y คิดไม่เหมือนกับคนรุ่นก่อน พวกเขาไม่ชอบที่จะเป็นลูกน้องใคร อยากสร้างเนื้อสร้างตัวได้เร็ว ๆ และมี Lifestyle ที่ค่อนข้างจะรีบเร่ง การทำ ” ธุรกิจส่วนตัว ” จึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและเหมาะสมกับ Gen Y เป็นที่สุด เพราะมันตอบโจทย์ ในเรื่องที่ Gen Y จะได้แสดงความสามารถ และตัวตนของตัวเองได้อย่างเต็มศักยภาพ มีความอิสระในสิ่งที่ทำ และสร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างรวดเร็ว 3. IQ ในเรื่องการวางแผนการเงิน คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับการวางแผนทางการเงิน เพื่อการเกษียณมากขึ้น พวกเขารู้จักเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พันธบัตร หรือกองทุนรวมพวกเขารับความเสี่ยงได้มากกว่าคนรุ่นพ่อแม่ และคิดว่าการฝากเงินกับธนาคารไม่เร้าใจสำหรับเขา นอกจากนี้เรายังสังเกตได้จาก อันดับหนังสือขายดี ตามร้านหนังสือชื่อดังต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าหนังสือที่เกี่ยวกับการเงิน และการลงทุน ขายดีอยู่อันดับต้น ๆ เลยทีเดียว 4. บริษัทมุ่งที่จะลดต้นทุน นับวันต้นทุนในการผลิตสินค้าต่าง ๆ ก็มีแต่สูงขึ้น...
Read More
หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อหุ้น

หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อหุ้น

หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อหุ้น ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อหุ้น ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ วิธีการคำนวณการเติบโตของกำไรของบริษัท ภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา หากบริษัทมีอายุการจัดตั้งและได้ดำเนินการเสนอขาย หุ้น ให้แก่สาธารณะชนครั้งแรก (IPO : ไอพีโอ) น้อยกว่าระยะเวลา 10 ปี ให้พิจารณาประวัติการเติบโตของกำไรต่อ หุ้น ตั้งแต่วันแรกของ IPO โดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ให้ข้อมูลของ หลักและวิธีการวินิจฉัยกำไรต่อ หุ้น ไว้ด้วยจะเป็นอย่างไรนั้น ตามไปดูกันเลย หุ้น การคำนวณอัตราการเติบโตด้านกำไรของบริษัท การคำนวณอัตราการเติบโตด้านกำไรของบริษัท ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ว่าได้กำไรจำนวนเท่าไหร่ มีแนวโน้มการเติบโตอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ มีวิธีการคำนวณดังนี้ กำไรต่อหุ้น = รายได้สุทธิของบริษัท ÷ จำนวนของหุ้นซึ่งอยู่ในมือของผู้ถือหุ้น (หุ้นที่เรียกชำระแล้ว) ส่วนการคำนวณเพื่อให้ทราบอัตราการเติบโตของกำไรของหุ้น มีวิธีการดังนี้ อัตราผลตอบแทน           =          (มูลค่าในอนาคต / มูลค่าในปัจจุบัน)1/N–1x 100 อัตราผลตอบแทน           =          เปอร์เซ็นต์อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น มูลค่าในอนาคต              =          มูลค่ากำไรต่อหุ้นในอนาคต  มูลค่าในปัจจุบัน            =          มูลค่ากำไรต่อหุ้นในปัจจุบัน N                                  =          จำนวนปี กำไรสะสมที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของบริษัท สะท้อนให้เห็นมูลค่าในราคาค่าหุ้นหรือไม่ การคำนวณมูลค่ากำไรสะสมจากหุ้นที่แท้จริงของบริษัททุกครั้ง หากต้องการเห็นผลลัพธ์ด้านมูลค่าตอบแทนและกำไรสะสมที่แท้จริง ควรพิจารณาขึ้นกับตลาดที่มีระยะยาว 10 ปี หรือมากกว่า ซึ่งในการคำนวณเพื่อให้ทราบว่าฝ่ายบริหารของบริษัทคุณทำการลงทุนส่วนกำไรให้แก่ธุรกิจมากน้อยเพียงใด การลงทุนนั้นส่งผลตอบแทนที่สูงขึ้นมากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกำไรสะสมเหล่านั้น ซึ่งหากฝ่ายบริหารมีการจัดสรรและลงทุนให้เกิดกำไรสะสมได้ในปริมาณมาก มันจะช่วยสะท้อนกำไรให้แก่บริษัทอย่างแน่นอน อีกทั้งยังส่งผลให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย กำไรของเจ้าของในช่วงระยะเวลา 10 ปี คืออะไร แนวโน้มที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ กำไรของเจ้าของ คือ กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายในการลงทุน ซึ่งกำไรหักการหักลบก็คือยอดคงเหลือที่เจ้าของการลงทุนจะได้รับนั่นเอง สูตรการคำนวณกำไรของเจ้าของ มีวิธีการดังนี้ กำไรของเจ้าของ = รายได้สุทธิ + ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย – ค่าใช้จ่ายการลงทุนรายได้สุทธิ (Net income)  = รายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย หรือรายได้หลังจากหักค่าภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แล้วค่าเสื่อมราคา (Depreciation)  = สินทรัพย์มีตัวตน เช่น พวกที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) = สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่นสิทธิการเช่า ลิขสิทธิ์ค่าใช้จ่ายการลงทุน (Total expenses) = ค่าใช้จ่ายในการลงทุนทุกประเภท โดยเราสามารถคิดค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายในอัตราที่เพิ่มขึ้นได้ แต่ต้องไม่ใช่เงินสดที่เข้าไปในรายได้สุทธิและหักลบค่าใช้จ่ายในการลงทุน เราจะมองหาอัตราการเพิ่มขึ้นของกำไรต่อหุ้นได้อย่างไร และสามารถเทียบกับอัตราการเติบโตของอัตราการเพิ่มขึ้นในระยะยาวได้หรือไม่ หลักการการลงทุนหลักทรัพย์ที่ดี นักลงทุนควรจัดสรรเปอร์เซ็นต์การลงทุนหุ้นในบริษัทที่มีขนาดใหญ่บ้าง ด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทขนาดใหญ่มีความมั่นคงและมีหลักทรัพย์สูง หากตลาดมีแนวโน้มที่จะต่ำ ลง หรือเรียกได้ว่าอยู่ใน ช่วงขาลง หุ้นเหล่านั้นจะช่วยส่งผลให้มีอัตราการร่วงของมูลค่าหุ้นในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า เพราะหากเราเลือกลงทุนหุ้นในบริษัทขนาดกลางหรือบริษัทขนาดเล็กเท่านั้น ผลที่ตามมาก็อาจจะเสียหายได้อย่างคาดไม่ถึง สิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรต่อหุ้นในบริษัท คือการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของหุ้นในระยะยาว ซึ่งเห็นได้ว่า หากวิเคราะห์จริง ๆ แล้ว บริษัทใหญ่ ณ ปัจจุบัน ก็เกิดจากการเป็นบริษัทขนาดเล็กมาก่อน ซึ่งในการบริหารและจัดการของบริษัทนั้นหากมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ก็จะส่งให้มีการยกระดับจากบริษัทขนาดเล็กเป็นบริษัทขนาดกลาง ซึ่งก็เป็นไปได้อีกว่าหลังการเติบโตของบริษัทขนาดกลาง อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการขยายการเติบโตจำนวนหลายปี ถึงจะสามารถยกระดับไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ได้ ซึ่งได้เห็นได้ชัดว่า บริษัทขนาดใหญ่ จะเรียกได้ว่าการเติบโตชะลอตัวแต่ก็ไม่ถึงกับหยุดชะงัก เพราะเมื่อบริษัทขนาดใหญ่ มักจะมีการบริหารจัดการหลายส่วนมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเติบโตที่จะเกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการเติบโตในทิศทางการขยายภายใน ไม่ว่าจะเป็น การขยายบริษัทไปสู่พื้นที่หรือภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือสายการผลิตใหม่ การขยายตลาดไปสู่ตลาดใหม่ และขยายตัวด้วยการซื้อกิจการเพื่อเพิ่มบริษัทลูก เหตุการณ์ใดบ้างที่ส่งผลให้บริษัทคุณมีกำไรเพิ่มขึ้น ในการคำนวณและวิเคราะห์หุ้นของบริษัท คุณจำเป็นต้องทราบที่มาของกำไรและลำดับการซื้อ – ขาย ทั้งหมดของบริษัท เพราะหากบริษัทคุณมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกตุ นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน โดยที่คุณจำเป็นจะต้องนำรายการกำไรที่เกิดขึ้นนั้นออกจากรายการคำนวณประวัติของกำไร เพื่อจะนำมาคาดคะเนถึงผลกำไรนั้นอย่างถี่ถ้วน เพราะการที่กำไรเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต อาจจะขึ้นจากการขายสินทรัพย์ หรือเกิดจากการที่มีคำสั่งซื้อจำนวนมากจากลูกค้าเพียงรายเดียว ซึ่งจากการคาดคะเนพบว่ากำไรที่เกิดขึ้น อาจจะให้ผลกำไรแก่บริษัทแค่จำนวน 1 ปี หรือ 2...
Read More
รู้จักตลาดหุ้นไทย กับเรื่องที่นักลงทุนมือใหม่ควรรู้

รู้จักตลาดหุ้นไทย กับเรื่องที่นักลงทุนมือใหม่ควรรู้

รู้จักตลาดหุ้นไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือตลาดหุ้น (Stock exchange of Thailand) เป็นศูนย์กลางเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ถูกตั้งขึ้นโดย พรบ.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517 โดยภายหลังได้มีการแก้ใขกฎหมาย ทำให้การดำเนินการของตลาดหุ้นนั้นอยู่ภายใต้ พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 แทน และในกฎหมายดังกล่าวยังกำหนดให้มีหน่วยงานควบคุมดูแลตลาดหลักทรัพย์และบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์คือหน่วยงานที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า กลต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ซึ่งหมายความว่าบริษัทต่าง ๆ ที่สามารถประกาศขายหุ้นของตนเองให้กับบุคคลภายนอกได้ (หรือที่เรียกว่าบริษัทมหาชน) จะไม่ได้มีอิสระในการบริหารและดำเนินธุรกิจเหมือนกับบริษัทธรรมดาที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น แต่การบริหารบริษัทรวมถึงการจัดการงบประมาณต่างๆต้องทำอย่างเปิดเผย และหากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในบริษัท เช่น บริษัทประสบความเสียหายอย่างรุนแรง เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการ หรือกรณีอื่น ๆ ที่จะกระทบต่อราคาหุ้น จะต้องรายงานเหตุแก่ กลต. เพื่อที่จะได้แจ้งให้ประชาชนได้ทราบต่อไป นอกจากนี้ยังมีเงื่อนใขอื่นอีกมากมายที่บังคับให้บริษัทมหาชนปฏิบัติ เพราะฉะนั้นประชาชนอย่างพวกเราสามารถมั่นใจได้ว่าการซื้อหุ้นหรือการลงทุนที่ดีกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งปะเทศไทยนั้นมีความปลอดภัย และยุติธรรมกับผู้ลงทุนอย่างเราแน่นอน คำว่า “หลักทรัพย์” ที่ทำการซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์นั้นคนทั่ว ๆ ไปจะนึกถึงแต่หุ้นอย่างเดียวแต่หลักทรัพย์ที่สามารถซื้อขายกันได้นั้นมีอีกหลายชนิดมาก เช่น ตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรรัฐบาล หมายถึง เอกสารสัญญาที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังจะมอบให้แก่ผู้ซื้อ และเราสามารถเอาไปขายกลับให้แก่รัฐได้โดยจะได้ดอกเบี้ย (เป็นวิธีการที่รัฐกู้เงินจากประชาชนเพื่อเอาไปบริหารงานต่าง ๆ ของภาครัฐ) หุ้นกู้ หมายถึง เอกสารสัญญาที่คล้ายกับพันธบัตรรัฐบาลแต่เป็นการที่บริษัทเอกชนออกมาให้นักลงทุนได้ซื้อไป โดยจะมีส่วนต่างให้ตอนขายคืนเช่นกัน (ที่เรียกว่าหุ้นกู้ เพราะว่าบริษัทจะแบ่งยอดเงินที่ต้องการจะกู้ออกเป็นส่วน ๆ เช่น ถ้าต้องการเงิน 100 ล้านบาท อาจจะออกหุ้นกู้ 1 ล้านหุ้น หุ้นละ 10 บาท เป็นต้น) โดยหลักทรัพย์ลักษณะแบบพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้นี้เราจะเรีบกกันว่าตราสารหนี้ แต่หุ้นทั่ว ๆ ไปนั้น เราจะเรียกกันว่าตราสารทุน นอกจากนั้นยังใบสำคัญเอกสารแสดงสิทธิอีกอย่างที่เรียกว่า อนุพันธ์ หรือ วอแรนท์ (warrant) หมายถึงเอกสารแสดงสิทธิในการที่จะให้นักลงทุนมีสิทธิทำอะไรต่าง ๆ เช่น ให้สิทธิในการซื้อหุ้นเมื่อจะมีการออกหุ้นเพิ่มเติม (คล้าย ๆ กับสิทธิการจอง) โดยวอแรนท์พวกนี้ก็สามารถนำมาซื้อขายกันได้ในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ถือได้ว่าเป็นตลาดรอง (Secondary Market) โดยถ้าจะเอาให้เข้าใจอย่างดีสุดนั้นผู้อ่านอาจจะต้องกลับไปอ่านบทความก่อนหน้าเพื่อทำความเข้าใจการเกิดขึ้นมาของหุ้นก่อน แต่ที่จะเล่าตรงนี้สั้น ๆ ก็คือ เมื่อบริษัทที่จะขายหุ้นให้แก่ประชาชนได้รับอนุญาตจาก กลต.ให้นำหุ้นออกขายแล้วหุ้นนั้นไม่ได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เลยโดยตรง แต่จะต้องมีการขายครั้งแรกก่อน โดยคนจะเรียกการขายครั้งแรกนี้ว่า IPO หรือ Initial Public Offering (ตลาดแรก) ซึ่งผู้ที่จะซื้อต้องเข้าไปซื้อโดยตรงกับบริษัทที่ขายหุ้น จากนั้นผู้ที่ซื้อหุ้นโดยตรงมาจากบริษัทถึงจะนำหุ้นมาขายต่อกันที่ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดรอง เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าพวกโบรกเกอร์หรือบริษัทนายหน้าค้าหุ้นต่าง ๆ นั้นมีต้นทุนมากและมีช่องทางการนำหุ้นไปขายต่อมาก จึงทำให้มีอำนาจต่อรองกับบริษัทที่นำหุ้นออกมาขายครั้งแรก โดยธรรมเนียมการปฏิบัติในไทยเรานี้ หุ้น ipo ส่วนหนึ่งจะถูกขายให้พนักงานหรือบุคคลภายในบริษัทที่ต้องการซื้อ และส่วนที่เหลือ บริษัทโบรกเกอร์ใหญ่ๆจะร่วมกันเหมาหุ้นมาเลยทีเดียวจากนั้นค่อยนำมาขายในตลาดรองอย่างตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก้เป็นสิทธิของบริษัทที่ต้องการขายหุ้นให้ทำได้ ส่วนราคาขายครั้งแรกนี้ นักลงทุนจะเรียกกันย่อ ๆ ว่า ราคาIPO การจะซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นกฎหมายกำหนดให้จะต้องทำผ่านโบรกเกอร์ เนื่องจากการจะซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่เรากดซื้อกดขายกันผ่านคอมพิวเตอร์บ้าง มือถือบ้างนั้น มันยังมีเรื่องของเอกสารสัญญาต่าง ๆ เบื้องหลังที่เราไม่ค่อยได้ให้ความสนใจ เราก็เพียงเห็นแต่ว่ากดปุ๊บ หุ้นก็เข้ามาอยู่ในพอร์ตเราเลย รู้จักตลาดหุ้นไทย กับเรื่องที่นักลงทุนมือใหม่ควรรู้ ในส่วนของเอกสารต่าง ๆ หรือการดีลซื้อขายหุ้นนี่แหละ ที่เป็นหน้าที่ที่โบรกเกอร์จัดการดำเนินความสะดวกให้เรา เพราะฉะนั้นการที่เราจะเริ่มลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็จะต้องไปสมัครสมาชิกกับโบรกเกอร์ก่อน โดยในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายมาก ๆ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดยที่ตัวเราไม่ต้องไปธนาคาร หรือไปที่บริษัทโบรกเกอร์เลย การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก็จะเป็นไปอย่างอิสระ หากเราสนใจหุ้นตัวใดก็สามารถกดข้อมูลขึ้นมาดูได้ จะมีรายละเอียดบอกคือ ตอนนี้มีคนเสนอซื้อหุ้นตัวนี้อยู่ในราคาเท่าไหร่ จำนวนเท่าไหร่ และมีคนเสนอซื้ออยู่ในราคาเท่าไหร่ จำนวนเท่าไหร่ เช่นกัน โดยราคาของสองฝั่งนี้จะไม่เท่ากัน เนื่องจากถ้ามันเท่ากันเมื่อไหร่ ตลาดหุ้นก็จะจับคู่ระหว่างคนเสนอซื้อกับเสนอขายนั้นเพื่อซื้อขายกัน ข้อที่ควรรู้อีกอย่างก็คือใน SET นั้น จะมีการแบ่งกลุ่มเพื่อเก็บและแสดงสถิติแยกกับภาพรวม เช่น กลุ่ม SET50 (บริษัทที่มีขนาดใหญ่ 50 อันดับแรก) SET100 (บริษัทที่มีขนาดใหญ่ 100 อันดับแรก) ซึ่งบริษัทพวกนี้แหละที่เป็นที่นิยมในการซื้อขายและราคาของบริษัทพวกนี้มีผลอย่างยิ่งต่อดัชนีดดยรวมของราคาตลาดหุ้นทั้งหมด นี่เป็นรายละเอียดข้อควรรู้คร่าว ๆ เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์...
Read More
วิธีเริ่มเล่นหุ้น

วิธีเริ่มเล่นหุ้น

วิธีเริ่มเล่นหุ้น อยากลองเล่นหุ้นดูใช่ไหม? แต่ไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับหุ้นเลย เรียกว่าความรู้หุ้นเป็นศูนย์ ไม่รู้ต้องเริ่มจุดไหน ไม่เข้าใจว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ทุกอย่างดูยากและมีแต่ศัพท์เฉพาะ วันนี้ลงทุนศาสตร์เขียนบทความ ” วิธีเริ่มเล่นหุ้น ” สำหรับมือใหม่แบบใหม่สุดๆ โดยเฉพาะ เพื่อเป็นความรู้พื้นฐาน สำหรับการต่อยอดหาเงินและลงทุนในอนาคต 1 หุ้นคืออะไร หุ้น (stock หรือ share) คือ ส่วนของความเป็นเจ้าของของบริษัทจดทะเบียน อธิบายแบบนี้ กิจการต่างๆ เวลาที่ต้องขยายธุรกิจ แต่ไม่อยากกู้ธนาคาร วิธีหนึ่งคือเสนอขายหุ้นให้กับนักลงทุนรายย่อยซึ่งถือเป็นการให้ใครก็ได้สามารถมาร่วมเป็นเจ้าของกิจการได้ เหมือนเราอยากเปิดร้านกาแฟสักร้านหนึ่ง แต่เงินไม่พอจึงไปหาคนมาหุ้นด้วย เวลามีกำไรจากธุรกิจก็แบ่งกันไปตามสัดส่วน แต่บริษัทที่จะขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้จะต้องจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนและผ่านเกณฑ์ในการนำมาระดมทุนได้ ความโปร่งใสของข้อมูลจะมากกว่าธุรกิจที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ เพื่อส่งเสริมให้นักลงทุนรายย่อยลงทุนได้อย่างปลอดภัย 2 หุ้นซื้อขายอย่างไร   หุ้นซื้อขายผ่านตลาดรองทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปัจจุบันมี 2 ตลาด คือ SET และ MAI แต่ในทางปฏิบัติไม่มีความแตกต่างเท่าไหร่นัก เพราะสามารถซื้อขายได้เหมือนกัน โดยนักลงทุนรายย่อยต้องซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาต หรือที่เรียกติดปากกันว่า “โบรคเกอร์” เพื่อให้โบรคเกอร์เป็นคนกลางในการจัดการโอนหุ้นและโอนเงินกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย นักลงทุนไม่จำเป็นต้องไปประกาศหาผู้ซื้อหรือผู้ขายหุ้นด้วยตนเอง เพียงแต่ซื้อขายผ่านตลาดกลางที่จัดสรรไว้ และปล่อยให้โบรคเกอร์เป็นคนดูแลจัดการเรื่องธุรกรรม 3 ราคาซื้อขายหุ้นกำหนดจากอะไร   ระบบการซื้อขายหุ้นคือระบบประมูล เราจะสามารถซื้อหุ้นได้โดยตั้งราคาที่อยากซื้อไว้ รอให้มีคนมาขายให้ราคาที่ต้องการ หรือเลือกซื้อหุ้นเลยจากคนขายที่มาตั้งราคาขายไว้ก็ได้ เช่น หุ้นตัวหนึ่งมีราคาเสนอซื้ออยู่ที่ 72.25, 72.50, 72.75, 73.00 และ 73.25 ในขณะที่ราคาเสนอขายอยู่ที่ 73.50, 73.75, 74.00, 74.25 และ 74.50 หากเราต้องการซื้อหุ้นให้ได้ราคาต่ำๆ เราก็สามารถตั้งราคาไว้รอได้ เช่น เสนอซื้อที่ 73.00 บาท รอให้คนมาขายให้เรา แต่ถ้าเราต้องการหุ้นเลยเพราะคิดว่าราคาเหมาะสมแล้วก็สามารถเคาะซื้อจากคนที่เสนอขายไว้ได้เลยที่ 73.50 บาท (ราคาถูกที่สุดเท่าที่มีคนเสนอขาย) แบบนี้ก็จะได้หุ้นทันที ไม่ต้องตั้งราคารอซึ่งการตั้งราคารอก็อาจจะไม่ได้หุ้นก็ได้ หากไม่มีคนยอมขายที่ราคาที่เราตั้ง 4 หุ้นซื้อขายผ่านทางไหน   หุ้นซื้อขายผ่านทางโบรคเกอร์เป็นหลัก แต่วิธีการซื้อขายผ่านโบรคเกอร์ก็สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน วิธีดั้งเดิมคือการโทรศัพท์ไปที่บริษัทโบรคเกอร์เพื่อทำการสั่งซื้อขายผ่านผู้ดูแลนักลงทุนส่วนตัวของเรา แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก เราสามารถสั่งซื้อขายหุ้นผ่านทางเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชันออนไลน์ได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกอย่างมากในการลงทุน เราสามารถตัดสินใจซื้อขายได้รวดเร็วและทันสถานการณ์ 5 กำไรจากหุ้นมาจากไหน   กำไรจากหุ้นมาจาก 2 ทางด้วยกัน คือ ส่วนต่างราคาและเงินปันผล โดยส่วนต่างราคาคือกำไรที่ได้จากราคาหุ้นที่เราขายสูงกว่าราคาหุ้นที่เราซื้อมา เช่น หากซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาที่ราคา 10 บาท จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่ารวม 100,000 บาท ต่อมาราคาหุ้นขึ้นไปสูงจึงตัดสินใจขายที่ราคา 12 บาททั้งหมด มูลค่ารวม 120,000 บาท แบบนี้เราจะได้ส่วนต่าง 20,000 บาทจากการลงทุนครั้งนี้ (ต้องหักค่าคอมมิชชันส่วนหนึ่งให้โบรคเกอร์ด้วย ประมาณ 0.20% ของมูลค่าการซื้อขาย) ซึ่งหากเราขายไปที่ราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา ตรงนี้ก็จะกลายเป็นการขาดทุนจากการลงทุน ส่วนกำไรอีกด้านหนึ่งคือเงินปันผล โดยทั่วไป กิจการจะจ่ายเงินปันผลคืนแก่ผู้ถือหุ้นโดยจัดสรรจากกำไรสุทธิ หากหุ้นที่เราถืออยู่ประกาศจ่ายเงินปันผล เราก็จะได้เงินตรงนี้เข้าบัญชีมาด้วย ซึ่งหุ้นแต่ละตัวก็มีนโยบายการปันผลแตกต่างกันออกไป บางตัวไม่ปันผลเลย บางตัวปันผลบ่อย บางตัวปันผลปีละครั้ง 6 ในตลาดหุ้นมีกิจการอะไรให้ซื้อบ้าง   ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปัจจุบันมีหุ้นอยู่ประมาณ 700 ตัว ซึ่งก็มีธุรกิจให้เลือกหลากหลาย โดยธุรกิจใหญ่ๆ ระดับประเทศส่วนใหญ่ก็จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้เราซื้อขายหุ้นทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น CPALL ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น CPN ห้างสรรพสินค้าเซนทรัล BDMS เจ้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพดุสิตเวชการ ADVANC เครือข่ายโทรศัพท์เอไอเอส WORK ช่องโทรทัศน์เวิร์คพอยท์ทีวี SCC ปูนซีเมนต์ไทย PTT บริษัทน้ำมันปตท....
Read More
7 ขั้นตอน พัฒนาตนเองให้รู้ทันเรื่องหุ้น

7 ขั้นตอน พัฒนาตนเองให้รู้ทันเรื่องหุ้น

7 ขั้นตอน พัฒนาตนเองให้รู้ทันเรื่องหุ้น 7 ขั้นตอน พัฒนาตนเองให้รู้ทันเรื่องหุ้น แม้ว่าการลงทุนในกองทุนรวมนั้น จะสะดวกและเหมาะมากสำหรับมือใหม่ แต่การพัฒนาตนเองให้มีความรู้เรื่องหุ้น ให้มากขึ้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรใส่ใจมากเหมือนกัน ทว่าหลาย ๆ นั้น คนอาจรู้สึกสับสนเพราะมีข้อมูลให้ศึกษาไปหมด บทความนี้จึงมาช่วยแตกประเด็นว่ามีองค์ความรู้และข้อมูลอะไรบ้างที่ควรศึกษา และมีพฤติกรรมง่ายๆ อย่างไรบ้างที่คุณสามารถฝึกให้ตนเองรู้ทันหุ้นได้มากยิ่งขึ้น ด้วยวิธีดังนี้ 1. ฝึกค้นหาข้อมูลพื้นฐาน ของหุ้นแต่ละตัว​ ลองค้นหาข้อมูลของหุ้นที่สนใจจะซื้อ โดยอาจเริ่มต้นแบบง่ายที่สุดใน Google ด้วยการเสิร์ชชื่อหุ้นที่ต้องการค้นหาลงไป หรืออ่านข้อมูลในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีเมนูข้อมูลบริษัทและข้อมูลหลักทรัพย์อยู่ โดยมีข้อมูลสำคัญของหุ้นแต่ละตัว ทั้งงบกำไร ขาดทุน ผลประกอบการของบริษัทย้อนหลัง ราคาย้อนหลัง ข้อมูลผู้บริหาร รวมไปถึงข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทและหลักทรัพย์นั้นๆ ด้วยค่ะ นอกจากนั้นควรปูพื้นฐานของการเล่นหุ้นให้แน่น ด้วยการฝึกอ่านข้อมูลพื้นฐาน และศึกษาศัพท์น่ารู้ที่ปรากฏบ่อยๆ เช่น P/E Ratio, EPS, Avg, ATO เพราะการฝึกใช้งานข้อมูลต่างๆ ในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์จะช่วยให้คุณมีพื้นฐานการเล่นหุ้นที่เข้มแข็งขึ้น 2. ดาวน์โหลดแอพเกี่ยวกับหุ้นไว้ติดเครื่อง ทุกวันนี้มีตัวเลือกแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวกับหุ้นของไทยให้คุณได้เลือกดาวน์โหลดหลายเจ้า เพื่อดูความเคลื่อนไหวของหุ้นที่เราติดตามแบบเรียลไทม์ แค่เปิดสมาร์ทโฟนขึ้นมาก็เข้าดูข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นได้แล้ว และเพราะตัวเลขหุ้นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การอัปเดตข่าวสารอย่างสม่ำเสมอก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นดีๆ ที่ช่วยให้คุณรู้ทันหุ้นหลายแอพ ไม่ว่าจะเป็น Settrade Streaming แอพพลิเคชั่นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถใช้ซื้อขายหุ้น ดูข้อมูลราคาหุ้นแบบเรียลไทม์และย้อนหลัง รวมถึงข่าวสารอื่นๆ StockRadars แอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถหาหุ้นในเงื่อนไขต่างที่กำหนดเอาไว้ และยังมีฟังก์ชั่นสำหรับดูกราฟหุ้น รวมถึงมีการมีแจ้งเตือนเมื่อหุ้นที่เราสนใจราคาเพิ่มขึ้นไปหรือว่าตกลงมาจุดที่เราตั้งเอาไว้ด้วย Market Anyware แอพพลิเคชั่นที่สามารถตอบโจทย์สำหรับนักลงทุนมือใหม่ มือเก่า เพราะแอพนี้สามารถสแกนหาหุ้นได้แบบ Real Time สามารถตั้งโปรแกรม Alert สำหรับแจ้งเตือนราคารวมถึงสามารถดึงข้อมูลของบริษัทย้อนหลังได้ถึง 30 ปี Jitta แอพพลิเคชั่นหุ้นที่เหมาะสำหรับนักลงทุนแนว Value Investor ที่เน้นดูปัจจัยพื้นฐาน สามารถแสดงแนวโน้มราคาของหุ้นด้วยการคำนวณจากสินทรัพย์ หนี้สิน และผลประกอบการในอดีตของบริษัทนั้น และแสดงคะแนนคุณภาพของบริษัทนั้นๆ โดยอาศัยอัลกอลิทึมของ Jitta Bloomberg เป็นแอพที่รวบรวมข้อมูลหุ้นและกองทุนมากมายให้ศึกษาจากทั่วทุกมุมโลก Krungsri Stock Expert แอพพลิเคชั่นสำหรับลูกค้า Krungsri Securities ที่ช่วยทำให้การซื้อขายหุ้นของเหล่านักลงทุนเป็นเรื่องง่าย เพราะมีข้อมูลหุ้นแบบทันเหตุการณ์ มีเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์และกราฟราคาแบบต่างๆ และบทวิเคราะห์ที่นำมาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี 3. อ่านบทวิเคราะห์เยอะๆ สำหรับสองข้อที่ผ่านมา จะค่อนข้างเน้นการติดตามข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง แต่นอกจากข้อมูลประเภทข้อเท็จจริงแล้ว การติดตามข้อมูลประเภทความคิดเห็นหรือบทวิเคราะห์นั้นก็จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับคุณตัวอย่างแหล่งที่คุณสามารถติดตามอ่านบทวิเคราะห์ได้ ได้แก่ Settrade โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีข้อมูลทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ และกองทุนรวม Finnomena แหล่งข้อมูลข่าวสารและบทวิเคราะห์วงการหุ้นและกองทุนของไทย Seeking Alpha / iBillionaire แหล่งรวมข้อมูลด้านการลงทุนจากนักลงทุนจากทั่วโลก สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาหุ้นต่างประเทศ บทวิเคราะห์หุ้นดีๆ ในเว็บไซต์ของสถาบันการเงิน ธนาคารหรือสถาบันทางการเงินเป็นอีกที่ที่มีผู้เชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล 4. เข้าร่วมกลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการลงทุน นอกจากการศึกษาข้อมูลด้วยการอ่านแล้ว การศึกษาด้วยการพูดคุยแลกเปลี่ยนก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเล่นหุ้นก็เหมือนการออกกำลังกาย ถ้าคุณมีกลุ่ม สมาคม ไว้พูดคุยอัปเดตข่าวสาร ก็จะยิ่งทำให้รู้สึกสนุก และเหมือนมีเพื่อนร่วมทางเพื่อไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ด้วยกัน ซึ่งในกลุ่มของนักลงทุนด้วยกันก็มักจะมีเทคนิค แนวทางการเล่นหุ้นที่น่าสนใจมาบอกกันด้วย ถ้าอยากพัฒนาตัวเองง่ายๆ ก็ลองฝึกตั้งคำถามรวมถึงลองเข้าไปตอบคำถามของคนอื่นในกลุ่ม โดยปัจจุบันมีกลุ่มของนักลงทุนหลากหลายให้ติดตามทั้งใน Facebook Group, LINE Group และเว็บบอร์ดต่างๆ 5. อ่านหนังสือหรือเข้าฟังสัมมนาเกี่ยวกับหุ้น ก่อนหน้านี้ เราได้แนะนำวิธีการศึกษาด้วยตนเองผ่านอินเทอร์เน็ตมาแล้ว แต่นอกเหนือจากการศึกษาด้วยตนเอง ก็คือการต่อยอดความรู้เพิ่มเติม หลังจากที่คุณศึกษาด้วยตนเองระดับนึงแล้วไปฟังสัมมนาหรือซื้อหนังสืออ่านเพิ่มเติมจะช่วยให้ได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะเราสามารถเลือกศึกษาในหัวข้อที่เฉพาะเจาะจงกับความอยากรู้ของเราได้ การเล่นหุ้นเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความรู้ ความไว และการศึกษาข้อมูลในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ คุณควรจะแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาเข้าร่วมงานสัมมนาที่จัดเกี่ยวกับหุ้นสักหน่อย เพราะนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังทำให้ได้เจอนักลงทุนคนอื่น และยังเป็นการสร้างคอนเนคชั่นที่ดีอีกด้วย 6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการเล่นหุ้นมีรายละเอียดและเทคนิคปลีกย่อยมากมาย และเราคนเดียวไม่อาจรู้และเข้าใจได้ทุกอย่าง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็เป็นอีกทางหนึ่งในการแก้ปัญหาได้ดี อีกทั้งปัจจุบันนี้ช่องทางในการหาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนนั้นก็เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นกว่าในอดีต เช่น ธนาคารกรุงศรีมีผู้เชี่ยวชาญให้ปรึกษาเรื่องหุ้น 7. เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง สุดท้ายแล้วการพัฒนาตัวเองที่ดีที่สุดคือการลงมือทำจริง ทั้งประสบการณ์ที่ดี และประสบการณ์ที่ล้มเหลว จะล้วนนำมาสู่ความรู้ อย่าเพิ่งกังวลกับอะไรมากเกินไปเพราะจะไปขัดขวางการพัฒนาตัวเองของเราได้ การเล่นหุ้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องอาศัยหลายๆ อย่างมาประกอบเข้าด้วยกันนั่นเอง ซึ่งการจะรู้ทันหุ้นได้ หลายครั้งนักลงทุนนั้นมักอาศัยวิธีใดแค่วิธีหนึ่ง แต่ทางที่ดีควรทำให้ครบทั้งหมดที่แนะนำมานี้ แล้วรับรองว่าคุณจะกลายเป็นนักลงทุน อีกหนึ่งคนที่รู้ทันหุ้น...
Read More
ฝึกเล่นหุ้นให้เซียน กับโปรแกรมเทรดหุ้นจำลอง

ฝึกเล่นหุ้นให้เซียน กับโปรแกรมเทรดหุ้นจำลอง

อยากจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จอยู่หรือป่าว คุณจะต้องรู้จักวิเคราะห์ตลาดให้เป็นและรู้จักใช้กลยุทธ์การเทรดที่น่าเชื่อถือ แต่จะเริ่มจากตรงไหนดีละ แล้วจะทดลองใช้กลยุทธ์ที่สร้างขึ้นมาก่อนที่จะเอาเงินลงไปเสี่ยงจริง ๆ ในตลาดได้อย่างไร ตอนนี้นี่เองที่โปรแกรมจำลองการเทรดจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ วันนี้เราจึงจะมาแนะนำโปรแกรมเทรดหุ้นจำลอง เป็นโปรมแกรมสำหรับทดลอง เทรดหุ้นฟรี ให้คุณได้ลองไป ฝึกเล่นหุ้นให้เซียน กันค่ะ ไม่ว่าคุณกำลังจะทำการเทรด Forex หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือคริปโตเคอเรนซี่ การฝึกฝนถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ และตัวช่วยที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นฝึกฝนการเทรดก็คือโปรแกรมฝึกเทรด Forex หรือโปรแกรมเล่นหุ้นจำลองนั่นเอง ซึ่งคุณสามารถลงทะเบียนลองใช้โปรแกรมจำลองการเทรดของเราได้ฟรีตั้งแต่วันนี้ เลือกโปรแกรมจำลองการเทรดที่ดีที่สุด เรียนรู้วิธีการใช้งานโปรแกรมจำลองการเทรดรายวัน (day trade) โปรแกรมทดสอบกลยุทธ์เทรด Forex และอื่น ๆ อีกมากมายได้ที่นี่เพราะเรารู้ว่าถ้าอยากเก่งก็ต้องฝึกฝน บางคนต้องใช้เวลาไปถึง 10,000 ชั่วโมงกว่าจะชำนาญในทักษะใดทักษะหนึ่ง การเทรดก็ไม่ต่างกัน จำนวนชั่วโมงที่เทรดเดอร์ได้ใช้ไปกับการเทรดก็คือสิ่งที่ช่วยบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าใครเป็นเทรดเดอร์มือใหม่ ใครเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการฝึกฝนนั้นสำคัญเสียยิ่งกว่าความรู้ตามตำราทั่วไป และก็เป็นโชคดีของคุณที่โปรแกรมเล่นหุ้นจำลองแบบออนไลน์นี่แหละที่จะเป็นตัวช่วยให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์ระดับเซียนได้ โปรแกรมฝึกเทรด Forex หรือโปรแกรมเล่นหุ้นจำลองเป็นโปรแกรมหนึ่งที่ "จำลอง" สภาพตลาดจริงขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เทรดเดอร์ได้ทดลองเทรดและฝึกการใช้กลยุทธ์การเทรดของตนด้วยเงินจำลองก่อนที่จะไปลงสนามในตลาดจริง โปรแกรมจำลองการเทรดบางตัวจะใช้อัลกอริธึมแบบง่าย ๆ ในการเลียนแบบกิจกรรมของตลาดแบบกว้าง ๆ ในขณะที่โปรแกรมจำลองการเทรดบางตัวจะเป็นเหมือนโปรแกรมเทรดที่แสดงข้อมูลตลาดจริงซึ่งทำให้ได้ประสบการณ์การเทรดในตลาดที่สมจริงกว่า ถึงแม้ว่าโปรแกรมจำลองการเทรดทั้งสองแบบจะมีประโยชน์ทั้งสิ้น แต่แบบหลังจะให้อะไรได้มากกว่ามาก คุณสมบัติสำคัญของโปรแกรมฝึกเทรด Forex ประกอบด้วย การจำลองและอัพเดตสภาวะตลาดจริงใช้บัญชีทดลองเทรดได้โดยไร้ความเสี่ยงมีฟีเจอร์และฟังก์ชันสำหรับการเทรดครบสามารถทดสอบกลยุทธ์การเทรด Forex ได้ทุกรูปแบบ โปรแกรมเล่นหุ้นจำลองส่วนใหญ่จะให้วงเงินจำลองตั้งแต่ 5,000 ถึง 10,000 ยูโร ซึ่งเทรดเดอร์สามารถนำไปทดลองเทรดในตราสารการเงินหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร Forex สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี และคริปโตเคอเรนซี่ ส่วนใหญ่แล้วโปรแกรมจำลองการเทรดมักจะตั้งชื่อตามประเภทของตราสารที่ให้คุณเทรดได้ เช่น โปรแกรมเทรดหุ้นจำลอง (เทรดหุ้น) โปรแกรมจำลองการเทรด Forex (เทรด Forex) โปรแกรมจำลองการเทรด binary (เทรด binary options) เป็นต้น บริษัทอื่น ๆ อาจตั้งชื่อโปรแกรมจำลองการเทรดตามอุปกรณ์ที่ใช้ เช่น โปรแกรมจำลองการเทรดสำหรับ PCโปรแกรมจำลองการเทรดสำหรับ iPhoneโปรแกรมจำลองการเทรดสำหรับ iPadโปรแกรมจำลองการเทรดสำหรับ MACโปรแกรมจำลองการเทรดสำหรับ Android โปรแกรมเล่นหุ้นจำลอง vs แพลตฟอร์มเทรดหุ้นจำลอง เนื่องจากมีชื่อเรียกที่หลากหลายสำหรับโปรแกรมเหล่านี้ทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแยกออกว่าควรจะลงทะเบียนใช้งานอันไหนดี และคนส่วนใหญ่ก็มักจะแยกไม่ออกระหว่างบัญชีทดลอง (demo account) ซึ่งเป็นโปรแกรมจำลองการเทรดที่อยู่ภายในแพลตฟอร์มเทรด (trading platform) ที่มีแพลตฟอร์มเทรดจำลองอยู่ ต่อไปนี้เป็นข้อแตกต่างแบบคร่าว ๆ ของสองสิ่งนี้ บัญชีทดลองเทรดหุ้น (demo account) ถือเป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นต้องมีเมื่อคุณต้องการจะเริ่มทำการซื้อขายในตลาดจริง แต่ก่อนที่จะเข้าไปในตลาดจริงได้นั้น คุณควรจะต้องทำการฝึกฝนความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้เรียนรู้มารวมถึงกลยุทธ์การเทรดของตนเองเสียก่อน และแม้ว่ากลยุทธ์การเทรดของคุณจะประสบความสำเร็จในบัญชีทดลอง ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเหมือนกันเมื่อเข้าไปเทรดด้วยบัญชีเทรดจริง เนื่องจากสภาวะตลาดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั่นเองแพลตฟอร์มเทรดหุ้นจำลอง (simulation platform) จะจำลองประสบการณ์ที่เทรดเดอร์คนอื่น ๆ ได้ประสบระหว่างการเทรด จุดประสงค์ของมันก็คือให้ผู้ใช้ได้เรียนรู้จากเทรดเดอร์เหล่านี้ในการแก้ปัญหาที่พบในแต่ละระดับขั้นซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป ข้อดีและข้อเสีย ของโปรแกรมจำลองการเทรด ถ้าคุณต้องการหาโปรแกรมจำลองการเทรดที่ดีที่สุดในตลาด สิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือข้อดีและข้อเสียของโปรแกรมนั้น ๆ ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าข้อดีและข้อเสียของการใช้โปรแกรมเล่นหุ้นจำลองหรือโปรแกรมฝึกเทรด Forex มีอะไรบ้าง ข้อดีบางประการของโปรแกรมจำลองการเทรด ได้แก่ คุณจะได้เรียนรู้วิธีการใช้โปรแกรมหรือแพลตฟอร์มเทรด และไม่ต้องกังวลเรื่องข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ อย่างเช่นการวางคำสั่งออร์เดอร์โดยไม่ได้ตั้งใจคุณสามารถทดลองใช้กลยุทธ์การเทรดได้โดยไม่ต้องเอาเงินจริง ๆ ของคุณมาเสี่ยง ซึ่งถ้าหากกลยุทธ์การเทรดนั้นไม่เวิร์กเมื่อนำมาใช้ในบัญชีทดลอง คุณก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเงิน และถ้าหากกลยุทธ์นั้นเวิร์ก คุณก็จะมีกลยุทธ์ดี ๆ เก็บไว้ใช้ในการเทรดจริงโปรแกรมจำลองตลาดหุ้นแบบเรียลไทม์จะช่วยให้คุณเข้าใจตลาดการเงินได้ดีขึ้น รวมถึงตราสารทางการเงินที่คุณต้องการจะลงทุนด้วยโปรแกรมเล่นหุ้นจำลองหรือโปรแกรมฝึกเทรด Forex ยังให้คุณได้ทดลองใช้โปรแกรมช่วยเทรด (automated trading software) ก่อนที่จะตัดสินใจเอาเงินที่หามาอย่างยากลำบากไปวางไว้ให้ระบบอัตโนมัติทำการลงทุนให้ ส่วนข้อเสียของการใช้โปรแกรมจำลองการเทรดฟรีก็คือมันไม่สามารถนำมาใช้เป็นตัวแทนของประสบการณ์การเทรดในตลาดจริงที่คุณจะต้องเจอได้เสียทั้งหมด เมื่อคุณเริ่มเทรดด้วยเงินจริง ๆ แล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของคุณ อาทิเช่น ความทนทานในการรับความเสี่ยงและโปรไฟล์การลงทุนของคุณเงินทุนเริ่มแรกของคุณระยะเวลาการลงทุนของคุณการเก็บภาษีในประเทศของคุณความกดดันและความเครียดเมื่อต้องเอาเงินจริง ๆ เข้าไปเสี่ยงในการลงทุนการจัดการความเสี่ยงและกลยุทธ์การบริหารพอร์ต ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ส่งผลให้เทรดเดอร์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรดเดอร์มือใหม่) ตัดสินใจลงทุนแตกต่างกันไปเมื่อได้เข้าไปเทรดในตลาดจริง ยกตัวอย่างเช่น พบว่าในการแข่งเทรดฟรี (free trading contest) เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะยอมเสี่ยงในการลงทุนมากกว่าเพื่อให้ได้ผลกำไรที่ดีที่สุดและชนะรางวัลไป ไม่ควรนำโปรแกรมเล่นหุ้นจำลองหรือบัญชีทดลองมาใช้เพื่อการนี้ แต่ควรนำไปใช้ในการทดสอบกลยุทธ์การลงทุนและทดลองเทรดตราสารทางการเงินใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคยมากกว่าเลือกโปรแกรมฝึกเทรด Forex อย่างไรให้ได้ตัวที่ดีที่สุด ถ้าหากคุณพร้อมที่จะลองใช้โปรแกรมจำลองการเทรดเพื่อฝึกเทรด Forex...
Read More