สำหรับใครคนไหนที่กำลังอยากจะเริ่มต้นลงทุน เชื่อได้เลยว่าจะต้องเกิดคำถามแล้วแหละว่าเราจะ ลงทุน อะไรดี ระหว่าง หุ้น กับ กองทุนรวม เพราะดูๆ แล้วก็เป็นการลงทุนที่น่าสนใจมากทั้งคู่ เพราะหุ้นนั้นน่าสนใจและน่าจะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่ากองทุนรวม แต่ กองทุนรวมนั้นดูแล้วสบายๆ กว่าการลงทุนซื้อหุ้น เพราะไม่ต้องคอยดูตลาดทุกวัน มีคนคอยให้คำปรึกษาแบบมืออาชีพคงดีกว่า ก่อนอื่นไปดูกันก่อนว่า หุ้น และ กองทุน นั้นจริงๆ แล้วคืออะไร
หุ้น คือการลงทุนเข้าเป็นเจ้าของร่วมในกิจการใดกิจการหนึ่ง ถ้าหากกิจการดังกล่าวได้กำไร เราก็ได้กำไรด้วย โดยกำไรที่ว่าอาจมาในรูปแบบเงินปันผล หรือในรูปแบบของส่วนต่างราคาก็ได้เช่นกัน

กองทุน คือ การที่บริษัทจัดการกองทุนซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการลงทุนทำการรวบรวมเงินจากผู้ลงทุนทั้งหลาย แล้วนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามที่่แจ้งไว้ในหนังสือชี้ชวน โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผล หรือส่วนต่างราคากองทุนเมื่อเราขายออกไป เรามาดูการเปรียบเทียบเป็นข้อๆ กันไปเลย
- การเลือกลงทุน
สำหรับการลงทุนในหุ้นต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะซื้ออะไร ลงทุนเท่าไหร่ แต่สำหรับกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนช่วยตัดสินใจในการเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ในการลงทุน เราเพียงแต่เลือกกองทุนตามนโยบายที่ต้องการ
- ผลตอบแทน
ในการลงทุนซื้อหุ้นนั้นมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูง แต่ก็มีโอกาสที่จะขาดทุนสูงเช่นกัน (ความเสี่ยงเยอะ) ส่วนกองทุนรวมนั้นมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ สูง-กลาง-ต่ำ ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนที่เลือก
- ความเสี่ยง
สำหรับหุ้นนั้นมีความเสี่ยงสูง เพราะขึ้นอยู่กับชั่วโมงบินของผู้ลงทุน หรือประสบการณ์และความรู้ในการลงทุนนั่นเอง แต่สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมนั้นความเสี่ยงจะต่ำ-กลาง-สูง ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นๆ และความเสี่ยงที่เราสามารถรับได้
- การกระจายการลงทุน
หุ้นจะไม่มีการกระจายการลงทุนได้ แต่สำหรับกองทุนรวมมีการกระจายการลงทุนลงไปในสินทรัพย์ต่างๆ ตามแต่นโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นๆ
- เงิน ลงทุน
การเล่นหุ้นจะใช้เงินในการลงทุนมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับราคาหุ้นที่ลงทุน โดยปกติกระดานหลักต้องซื้ออย่างน้อย 100 หุ้น และเพิ่มขึ้น Lot ละ 100 หุ้น ส่วนกองทุนรวมนั้นมีเงินน้อยก็สามารถลงทุนได้ตามขั้นต่ำของกองทุนแต่ละกอง
- ค่าธรรมเนียม
ในการลงทุนหุ้นจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมซื้อและค่าธรรมเนียมขาย เรียกว่า Brokerage Fee จะเก็บจำนวนเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับโปรคเกอร์ที่ใช้บริการ ส่วนของกองทุนรวมจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมที่เก็บจากกองทุนรวม ขึ้นอยู่กับว่ากองไหนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใดบ้าง
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี
หุ้นไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ แต่เงินปันผลสามารถลองคำนวณขอเครดิตภาษี มีโอกาสได้เงินคืน แต่สำหรับกองทุนรวมบางอย่างเช่น LTF RMF สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามข้อกำหนดของสรรพากร
- การเปิดบัญชี
หุ้นสามารถเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ (Broker) ส่วนกองทุนรวมนั้นจะเปิดกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ตัวแทนจำหน่าย หรือธนาคารที่เป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับ บลจ.นั้นๆ
เมื่อทราบความเสี่ยงของตัวเองแล้วขั้นต่อไปซึ่งคือการเปิดบัญชีเพื่อลงทุนกันเลย

วิธีการเปิดบัญชี
หุ้น สำหรับการซื้อขายหุ้น เราต้องมีการเปิดบัญชีหุ้นหรือที่เรียกกันว่าการเปิดพอร์ต “โบรกเกอร์” ก็คือบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่รับคำสั่งซื้อขายหุ้นจากผู้ลงทุน และนำเข้าสู่ระบบตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง สามารถเปิดบัญชีได้ง่ายๆ ด้วยการเตรียมเอกสารให้พร้อมและแสดงความต้องการเปิดบัญชี นอกจากนี้สามารถเปิด Port Online กับโบรกเกอร์ที่เราเลือกได้ โดยบัญชีหุ้นจะมีอยู่สามประเภท ได้แก่
- บัญชีวางเงินล่วงหน้า (Cash Balance) : มีเงินในบัญชีนี้เท่าไหร่ซื้อหุ้นได้เท่านั้น โดยผู้ลงทุนต้องนำเงินฝากกับโบรกเกอร์ที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นเมื่อมีการทำรายการสั่งซื้อหุ้น เงินจะถูกหักจากบัญชีทันที
- บัญชีเงินสด (Cash Account) : ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง บัญชีนี้โบรกเกอร์จะเป็นผู้พิจารณาวงเงินในการซื้อหุ้นตามหลักฐานการเงินที่ผู้ลงทุนนำมาแสดงตอนขอเปิดบัญชี โดยผู้ลงทุนจะต้องวางเงินเป็นหลักประกัน 20% ของวงเงินที่ต้องการจะลงทุนในครั้งแรกแต่ไม่เกินวงเงินที่บริษัทหลักทรัพย์อนุมัติ เมื่อลงทุนแล้ว บริษัทหลักทรัพย์ จะทำการตัดบัญชีของผู้ลงทุนใน 2 วันทำการถัดไป
- บัญชีเครดิตบาลานซ์ (Credit Balance Account) : บัญชีกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ หรือที่เรียกกันว่าบัญชีมาร์จิ้น เป็นบัญชีที่สามารถกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์มาซื้อหุ้น แต่นักลงทุนต้องมีการเสียดอกเบี้ยสำหรับการกู้ยืมในส่วนนี้ด้วย
กองทุน สำหรับกองทุน ท่านสามารถทำการเปิดบัญชีกองทุนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม (บลจ.) หรือตัวแทนจำหน่าย เช่น ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีบริการเปิดบัญชีกองทุนแบบ Online ไว้คอยอำนวยความสะดวก เรียบง่ายในการจัดการและเป็นมิตรกับมือใหม่นั่นเอง
การ ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นหรือลงทุนในกองทุนรวม เราควรพิจารณาตามสไตล์และความพร้อมของตัวเองก่อนเลยว่าพร้อมที่จะลงทุนหุ้นหรือลงทุนในกองทุนรวมมากกว่ากัน หากเรามีเวลามาก มีทุนมาพอ คิดว่ารับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ และมีความรู้ หาความรู้เพิ่มเติมิยู่เสมอ หุ้นอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับคุณ แต่หากว่าตัวคุณเองยังไม่มีทุนมากพอ หรือยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนสักเท่าไหร่ กองทุนรวมก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว
อ่านบทความเพิ่มเติม : GALAXY HUNTER เกมยิงปลามาใหม่